เรื่องสั้นๆ อ่านกันยาวๆ (ปฐมบท ต่อนที่ 5)
บทที่ 8/5 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
อวสานเสียได้ก็ดี..แล้ว (ไอ้เรื่องไม่น่าสนใจ)
เรื่องราวในกล่องของคนเรา มีมากมายหลากหลาย ทั้งที่หน้าจดจำ และอยากฝังไว้ให้ลึกที่สุด ของกล่องความทรงจำ เมื่อวันใดได้แวะเวียนกลับมาดู มาปัดฝุ่น มาเรื้อค้น ความทรงจำเหล่านั้นก็ทำให้เราหวนคิดถึงสิ่งที่ผ่าน อันประสบการณ์ ดีหรือไม่ ผ่านไปไม่อาจเรียกคืน สิ่งที่ทำไปแล้วได้ ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราไม่อาจไปกำหนดค่าของประสบการณ์ว่า “ไร้สาระ” หรือ ทรงคุณประโยชน์ ธรรมดาของบนโลกนี้ มันก็ย่อมเป็นของโลกนี้ ไม่ใช่ของเราสักอย่าง เพียงเราเป็นผู้อาศัย เป็นของสมมุติชั่วคราว ที่มีมาพร้อมโลก อาจพูดเป็นธรรมว่า “เกิดขึ้นก่อนพระพุทธองค์” ในธรรมคำสั่งสอนท่านได้ตรัสกล่าวไว้เช่นนั้น ทุกสิ่งย่อมมีเหตุผลในตัวเอง นามผู้ที่ชื่อว่า “สังคม” มันเป็นผู้ยืนดูอย่างเย็นชา ใช้ถ้อยคำวิจารณ์ ตัดสิน และลงทันฑ์ อย่างมีระบบ แบบแผนของมัน เมื่อคนๆ นั้น ไม่ยอมจำนน ต่อจารีต วิถีทาง ข้อกำหนด ที่ “สังคม” ยิบยื่นให้ (มีคอกดีๆ ไม่ยอมอยู่) ใครละครับชอบอยู่ในคอก เพียงใจเรายึดมั่น 2 สิ่ง ให้เป็นเครื่องครองตัว เมื่ออยู่ในสังคม 1 ก็คือ หิริ ความละอายต่อการกระทำชั่ว หรือที่สังคมมันบอกว่าไม่ดี ถึงไม่มีใครรู้แต่นึกกินแหนงแคลงใจ ไม่สบายใจเป็นความรู้สึกรังเกียจ เห็นเป็นของสกปรก จนทำให้ใจเศร้าหมองเราก็ไม่ยอมทำมันซะ
2 โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อสิ่งที่ให้ผลไม่ดี “ก็ชั่ว” เป็นความรู้สึกกลัว กลัวว่าเมื่อทำไปแล้วอาจส่งผลเป็นความทุกข์ทรมานแก่เรา เมื่อคิดได้เราก็ไม่ทำ
2 ข้อนี้เมื่อนำไปปฏิบัติแล้ว เราก็จะอยู่กับไอ้สังคม อย่างเป็นสุข (ปล่อยมันทำไปเถอะ) อีกอย่างครับถ้าจะให้ดีเลย ควรพกคำว่า “อย่าเห็นแก่ตัว” เท่านี้สังคม ก็ชอบและรักเราแล้ว โลกก็สงบสุขได้ ก็นั้นละครับ มนุษย์เรา ย่อมมีความคิดต่างกันออกไป
ไม่ใช่ว่า สิ่งที่ผมคิด จะถูกเสมอไป ไม่มีใครเชื่อใครง่ายๆ หรอกครับ ขนาด พ่อ แม่พูดเตือน สั่งสอน นอนใกล้กัน ยังไม่ฟัง ถึงฟังได้ ก็ไม่ทำซะอย่างงั้น แต่ก็อยากแสดงไว้ เผื่ออะไรจะดีขึ้นบ้าง (อย่าถือสา คนใกล้วัด) “พายเรือเล่นในอ่างทองคำ มันมันส์ดีวะ”
ระหว่างรอโทรศัพท์ ที่แพล้มมาทั้งหมด ก็รอใช้เครื่องละครับ สมัยนั้นมือถือแพงมากไม่มีปัญญาซื้อใช้หลอก ไอ้รุ่นกระดูกหมา กระดูกหมูนะ อย่างดีบางคนก็ใช้
“แพ็คลิ้งค์ “ (คล้ายๆ เครื่องโกนหนวดขนาดพกพา) อันนี้ผมก็ไม่เคยมีกับเขาหรอก จะโทรทีก็ตู้สาธารณะ ไม่งั้นก็มาโทรที่ทำงาน เวลาว่างเพราะเป็นคนไม่ชอบโทรศัพท์หาใคร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่รู้ที่ทำดีหรือเปล่า แต่ดีกับการทำงานมาก ทำให้เราทุ่มเทไปให้งานอย่างเต็มที่ ผมก็เป็นอีกคนที่ชอบจับจด หรือเรียกว่าจดจ่ออยู่กับงาน พูดได้ว่ารับผิดชอบเต็มที่ ไม่เสร็จก็ต้องอยู่ดึกละครับ บางครั้งก็ใช้ที่ทำงานเป็นบ้านที่ 2 ไปเลย (ก็ไม่มีครอบครัวให้ห่วงนี้ ครับ) ตัวคนเดียว โสด ไม่มีใครเอามั่ง ลูกน้องเลยชอบมั่ง ไม่ชอบมั่ง ไอ้ที่ชอบก็มันได้ โอที พวกมีภาระมาก ไอ้ไม่ชอบ นี้ก็มีแฟนมาก หรือมีห่วงแต่เรื่องส่วนตัว ประเภทนี้ มักจะมาเร็ว ไปเร็ว (ใครทำอย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น) วางสายแล้ว เฮ้ย “พี่ขอใช้ต่อนะ” รีบ บ่ายสองจะเตรียมตัวรับงานใหม่ ลูกน้องรีบซักใหญ่เลย “งานอะไรพี่ อยู่โอไม่วันนี้” กระหายกันจัง ฟังแล้วก็ชื่นใจ แต่ไอ้ต่อไปนี้ซิ เมื่อโทรไปหาไอ้หนุ่ยแล้ว จะเกิดอะไรไม่คาดฝันหรือเปล่า ก็เลยบอกลูกน้องไปว่า “ยังสรุปไม่ได้” ไม่แน่ เตรียมตัวไว้เถอะ
เสร็จสิ้นการสนทนาทั้งปวง วางภาระทางโลกลง ล้วงกระเป๋ากางเกง ที่กระเป๋าด้านขวา มีรูขาดเท่าหัวแม่มือ ดีนะที่กระดาษโน๊ตเบอร์โทรที่ใส่ไว้ไม่หล่นหาย ผมคลี่กระดาษที่ยับย่นออก เบอร์ขึ้นต้นด้วย 02 เป็นเบอร์บ้าน เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เขียนด้วยดินสอไส้ H ขณะนี้มันดูเลือนๆ อ่านค่อนข้างยากสักนิด แต่พอจะแกะได้ ผมหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ด้วยอาการ มือสั่นเทา ไม่ได้หนักอะไรมากหรอกครับไอ้โทรศัพท์ แต่มันสั่นด้วยอาการภายในร่างกาย มันเตือนว่า “ฤทธิ์แอลกอฮอล์ จะหมดแล้วนะ”เหมือนเข็มวัดน้ามัน ที่คอยเตือน ด้วยไฟหน้าปัดสีแดงบอกน้ำมันจะหมด คล้ายๆ แบบนั้นละ เสียงสัญญาณ ตื๊ดๆ ยาวๆ หลายครั้ง ทีเดียวติดเลยไม่เสียเวลา “โหล หวัดดีเพื่อน หนุ่ย”หนุ่ยรับสายพอดี “สวัสดีชาวโลก” คำทักทาย สไตล์หนุ่ย ละครับ ผมเลยพูดเข้าประเด็นเลย “มีอะไรไหม แค่นี้นะ” เฮ้ย จะรีบไปไหน อยู่ด้วยกันก่อน (เล่นๆ กับเพื่อนนะครับ) เอาเป็นว่า “คืนนี้เจอกันที่เดิม จะรออยู่ตีนสะพานลอยฝั่งร้าน สาวรีชัย ห้าทุ่ม (ทำไมมันนัดดึกจังวะ ก็สงสัยอยู่ในๆ) เพื่อนมาหลายคน มาถึงแล้วค่อยคุยกัน “แค่นี้ บายดีเพื่อน” แล้วมันก็วางหู สั้นๆครับ เวลาผมคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ก็เป็นลักษณะนี้ละ เลยรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้ก็สุ่มเสี่ยงไปเองดีกว่า ยังไงเสีย มันก็ไปตั้งวงกัน อีหรอบเดิมนั้นละครับ
หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเข้าประชุมรับงาน อาการเริ่มกับมาในโหมดฟรุ้งฟริ้ง เหมือนเดิม หมายความถึงสดชื่น เบิกบาน พร้อมลุย (อยากให้มีศัพท์ใหม่ของวัยรุ่นบ้าง) เดี๋ยวเค้า จะว่า ลุงเชย เป็นพวกหลงยุค หรือมึนยุค (คอมเก่าตกรุ่น ก็ธรรมดา) บ่ายสอง สามสิบห้านาที AE การตลาด 3 คน Creative อาร์ตได Design และเจ้านายใหญ่ ร่วมประชุมครบ หลังจากรู้เรื่องราว ขอบข่ายงาน จุดประสงค์ เป้าหมายอย่างชัดเจน ก็แยกย้าย กันไปรับผิดชอบในหน้าที่ของแต่ละส่วนงาน ส่วนตัวผมเอง มีหน้าที่คิด ธีมงาน จากคอนเซ็ปที่เข้าให้มา ก็ได้หนังสือรายงานประจำปีเก่า ของปีก่อนๆ ย้อนหลังมา 3-4 เล่ม ผมก็เริ่มอ่าน ความเป็นมา วัตถุประสงค์ ขององค์กร ลูกค้า พอสังเขป ให้เกิดไอเดีย พอเดาทางออก ถึงความต้องการของลูกค้า จากปีที่แล้ว บริษัทน้ำมัน ผมจึงมุ่งเน้นงานไปด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก สร้างวิสัยทัศน์อันกว่างไกล ให้ทีมผู้บริหาร (หน้าที่ของผมก็สร้างภาพให้คนละครับ) วางรูปแบบงาน Design ให้เขาได้ทำงานต่อจากเราง่ายขึ้น ในเรื่องของรูปแบบ และอารมณ์ของงานว่าควรไปในทิศทางใด หลังจากนั้นไม่นานเรื่องยุ่งๆ ของวันก็จบลงอย่างเงียบสงบ สรุปไม่ต้องอยู่โอ เพราะยังสรุปงานไม่ได้ (ตัดภาพมาเลย) ที่ป้ายรอรถเมล์หน้าห้างดังแห่งหนึ่ง ของลาดพร้าวต้นๆ ซึ้ง ผมต้องเดินจากที่ทำงาน ประมาณ 3 ป้ายรถเมล์ ทุกวัน ทั้งไปและกลับ เป็นปกติ (แต่ก็ไม่ยอมผอมลงซะที) เพื่อกลับเคหะสถานที่พำนักอาศัย ย่านสะพานใหม่ไม่ ต้องห่วงครับ รถเมล์ผ่านหลายสายในเส้นนั้น จึงไม่ต้องรีบมาก รถมีตลอดคืน ชิวๆ แวะเติมเชื้อชั่วก่อนก็ยังทัน เป็นการอุ่นเครื่อง เรียกว่า “น้าจิ้ม” ก่อนลุยมื้อใหญ่ คิดได้ดังนั้นผมเลยต้องย้อนกลับไปซักนิดหนึ่ง ก็แค่ปากทางลาดพร้าว มีร้านลาบข้างทางเจ้าประจำ ติดคลองน้ำเน่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนๆ บริษัทโฆษณา ด้วยกัน ชอบแวะเวียนมานั่งสังสรรค์ ร้านเจ้ “หน่อย” จิ้มจุ่ม” รสแซ่บ ปากหนามทอดกรอบ “ส่วนเหงือกวัว” ตากแห้งแดดเดียว นำมาทอด เป็นกับแกล้มยอดฮิต ในช่วงนั้นเลย ก่อนที่จะเดินเข้ามาในร้าน ก็พบว่า มีเพื่อนเก่า 3-4 คน ของที่ทำงานเดิม ก่อนที่ผมจะแยกไปอยู่กับ พี่โต้ง และไอ้หนุ่ย Zellrust จำ ได้ไหมครับผมเล่าไว้ในบทแรกๆ ก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น เรียกได้ว่าเพื่อนซี้ มีไอ้ เต็ง ไอ้นนท์ และอื่นๆ เป็นเด็กใหม่ เดี๋ยวสักครู่ก็ได้รู้จักละครับ เต็ง เห็นผมเดินมาแต่ไกล ก็ยกมือให้สัญญาณทักท้าย สไตล์ ฮิตเลอ “ไงเพื่อน นั่งๆ” แก้วเพิ่มอีกใบครับ เจ้หน่อย ผมทักท้ายเพื่อนเต็ง เพื่อนนนท์ พอสมควร ด้วยที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว "นั่งนานยังวะ” วันนี้มีธุระ นั้งนานไม่ได้วะ “ไอ้หนุ่ยมันนัดไว้ 5 ทุ่ม” ไปด้วยกันเปล่า เต็ง ผมออกปากชวนเพื่อนเต็ง มันบอกต้องทำโอ บริษัทนี้มันก็มีโอทั้งปี ทั้งชาติ ละครับ เงินเดือนน้อย อาศัย เงินโอที นี้ละครับประทังชีวิตของพวกเรา "ก็เล่นแดกกันได้ทุกวันนี้ครับ" (คำพูดไม่สุภาพ เพื่อความเป็นกันเองนะครับ) เริ่มจะได้ที่แล้ว เวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบ 3 ทุ่ม ผมจึงขอตัวกลับก่อน กลัวว่ารถจะติด เดี่ยวจะสาย ต้องรีบกลับไปอาบน้า แต่งตัว ไปหาไอ้หนุ่ย และด้วยสันดานของผม ก่อนที่จะขึ้นห้องพัก ผมก็แวะร้านขายของชำ ของอดีตนักฟุตบอลทีมท่าเรือ ปัจจุบัน เป็นผู้ติดสุราเรื้อรัง แต่ก็ยังเป็นคนดี มีน้าใจ มากกว่าคนที่เรียกตัวเองว่าดี หลายๆ คน เรียกว่าอย่าดูคนแค่เปลือก (เหมือน กุ้ง ยังไงละครับ) พอพี่เขาเห็นหน้าเท่านั้น ก็รู้ไปถึงเซ่งจี้ ผมแล้ว คนไทยใจสู้ ผมก็ต้อนช้างหนึ่งเชือกกลับขึ้นห้อง พร้อมหลอดหนึ่งอัน (บางคนสงสัยใช้หลอดทำไม) ก็เอาไว้ดูดเบียร์ แบบนี้สะใจดี แบบจื้ดๆ เคยลองไหมครับ หลังจากเสร็จสิ้นธุระปะปัง อันไร้สาระของชีวิต หนุ่มโฉด (โสด สนิท) ก็ 4 ทุ่มนิดๆ ได้ฤกษ์ออกเดินทาง รถเมล์สายรังสิต ไปอนุสาวรี มีทั้งคืนครับ แต่ช่วงดึกๆ จะห่างหน่อย (บอกไว้เพื่อใคร จะมาอาศัยในเขตนี้) สะดวกครับ มีตลาดสดที่ใหญ่ ของอดีตนักการเมืองที่เป็นข่าว สยดสยอง มีห้างดัง อีกมากมาย แหล่งบันเทิง ที่ไหนก็มี แต่ราคาย่อมเยา ต้องแถวนี้เลยครับ รถเริ่มโล่ง ไม่ถึง 30 นาทีก็ถึงที่หมาย ผมลงรถ เดินเลียบฟุตบาทจากป้ายรถเมล์ ถึงสะพานลอย ข้ามสะพานลอยลงมา ก็เห็น ไอ้หนุ่ยยืนรออยู่ ดีเพื่อน รอนานยัง มันบอกสักครู่ เดินดูหนังสือ (แถวนั้นหนังสือปลุกใจเสือเฒ่า เพียบครับ) เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวก่อน มีเรื่องด่วนอะไรวะ มันตอบ “ไม่มีเรื่องมาหากันไม่ได้นี้ “ สำเนียงโคราช มันพูดต่อไปอีกว่า อีกสองวันจะบวช ก็เลยชวนผม ให้ไปด้วยกัน โดยเอารถเพื่อนของหนุ่ย ไปเลยนัดมาเจอกัน ผมไม่รู้จักกับเพื่อนของไอ้หนุ่ยหรอกครับ ก็วันนี้ละ จะได้รู้จักกันวันแรก เห็นมันบอกว่าเป็นนักข่าว ส่วนสังกัดที่ใด ผมเองก็ลืมๆ ไปแล้ว ก็เรื่องมันนานมาแล้วนี่ครับ เรื่องเพื่อนมันต่อกันเร็ว มีเชื้อ มีชนวน สบายมาก ไม่มีเคอะเขินหรอกครับ ซักพักก็เห็นคนนั่งกันเต็มร้าน ดนตรี กำลังเล่นอย่างสนุก สังเกตเห็นหลายคนแสดงอาการเคลิ้มตามเพลง ที่โต๊ะหัวมุมติดเคาน์เตอร์บาร์ มีชายฉะกัน 2 คน รูปร่างสันทัด ค่อนไปทางอ้วน หนุ่ยพาผมตรงดิ่งเข้าไปหา “เอาเจอแล้วหรือ ออกไปเร็วจัง” เสียงหนุ่มกรุงพูดไทยชัดเจน เฮย “ดอน” นี่ “แก๊ป” เพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน ขาเมาเหมือนกัน หวัดดี “นั่งนานยัง เสียงดังไปหน่อยนะ” นี่จะไปงานบวชหนุ่ย ด้วยเหลอ หนุ่ยมันตอบกลับ ก็ไปรถดอนนี่ละ ตี สาม ตีสี่ ล้อหมุน พอนั่งสักพัก แก้วใบใหม่ก็มา ผมอัดเบียร์มาเพียบ แต่นี่ดันมาเจอเหล้านอก เอาละวะ ไม่เกี่ยงงานนี้ ตายเป็นตาย ใจรักซะอย่าง นั่งคุย สารทุกข์ สุกดิบ สัพเพเหละ ได้พอคุ้นชินกันแล้ว เรียกว่า ยิ่งดื่มก็ยิ่งมัน ยิ่งฟังดนตรีฝรั่งแบบบ่นๆ ก็ทำให้ยิ่งเมา มองดูเพื่อนก็สุดติ่งเลยครับ หลีสาวโต๊ะข้างๆ อย่างสนุก ไอ้ดอนก็พูดแต่เรื่องสายข่าว ผมเองก็ได้แต่ฟัง มือซิครับไม่ยอมให้ว่าง รินดื่มไม่หยุด ลืมไปว่ามีเบียร์ รองพื้นเอาไว้ ก็ถึงจุดละครับ ผมก็เลยสนุกมาก แต่เป็นการสนุกอยู่คนเดียวอีกแล้ว เหมือนไอ้หนุ่ยมันเคยว่าผม มันว่าผมเป็นคนเมาแล้วไม่ห่วงใคร สนุกคนเดียว ไม่รู้ว่าเพื่อนจะเดือดร้อน (ทำยังไงได้ ก็คนมัน ฟิวขาดนี้ครับ) หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้ยินเสียง “แก๊ปๆ ๆ” ผมลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย หนักหัวไปหมด ตามเนื้อตามตัว ก็ขัดยอก ยืดตัว บิดร่างกาย รวบรวมสติ “ก็งงอยู่” ถึงโคราชแล้ว เสียงไอ้ดอนเอง ที่ปลุกผม ลงไปกินข้าวต้มกันก่อน ไอ้หนุ่ย มันนั่งในร้านรอก่อนแล้ว ผมกับดอนจึงตามเข้าไปในร้าน ก่อนกินข้าวต้มวันนั้น หนุ่ยมันพูดว่า “สนุกไหมมึง เกือบตายก็ไม่รู้ตัว สนุกอยู่คนเดียวเลย” หนุ่ยมันบอกมาถึงโคราชใช้เวลา 2 ชั่วโมง เกือบนอนข้างทางกันแล้ว ไอ้ดอน มันขับรถสุดติ่งจริงๆ วะ ขนาดเมาสุดๆ มันยังประคองรถ พาเพื่อนมาถึงโคราชจนได้ มันสุดยอดจริงๆ “ไม่รู้รอดมาได้ไง” ผมไม่รู้หรอกครับ ผมเมา” น่ากลัวหรือเปล่าครับ END