แพทย์แผนไทย โคราช รักษาโรค SLE ไขความลับวิธีรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ( SLE)
รถตู้ให้เช่า ร้อยเอ็ด
หมอเอ ณัฐปราชญ์ คลินิก

เป็นงานทดลองเขียนเรื่องสั้นครั้งแรก และครั้งเดียว 555 ^___^ วันนี้รื้อมาจากในเมลมาอ่านอีกครั้ง และเขียนเพิ่มเติมใหม่ หากใครผ่านมาอ่าน ...จะดอกไม้ หรือก้อนหินก็ยินดีรับ (เบาๆ อย่าแรง กลัวเจ็บ 555 )

17555181 10208410244397516 1912989474 n…โลกของเพชร…

เป็นงานทดลองเขียนเรื่องสั้นครั้งแรก และครั้งเดียว 555 ^___^ วันนี้รื้อมาจากในเมลมาอ่านอีกครั้ง และเขียนเพิ่มเติมใหม่ หากใครผ่านมาอ่าน ...จะดอกไม้ หรือก้อนหินก็ยินดีรับ (เบาๆ อย่าแรง กลัวเจ็บ 555 )
…โลกของเพชร…
ที่สถานีขนส่งแดนอีสานมีรถทัวร์หลายคันเพิ่งแล่นเข้าจอดในชานชาลา ขณะที่อีกหลายคันรอเวลาออกในอีกไม่ช้า ภายในสถานีเซ็งแซ่ด้วยเสียงผู้คนหลากหลายชีวิต ผสานกับเสียงเครื่องยนต์ ทำให้เวลารุ่งเช้าเช่นนี้คึกคักยิ่งนัก
“ พี่ๆๆ ไปไหน โคราช กรุงเทพไหมพี่” เด็กรถร้องเชื้อเชิญผู้โดยสาร
“ข้าวเหนียว หมูทอด ไก่ทอด ไข่ปิ้ง บ่จ้า...เราเดินทางแบบนี้ ไม่ใช่รถยนต์ส่วนตัว เค้าไม่ได้จอดนะ น้ำจ้าน้ำ มียัง ” เสียงแม่ค้าร้องถาม พร้อมสำทับด้วยมากประสบการณ์ และหันไปบอกผัวเมียคู่หนึ่ง ที่อุ้มลูกไว้บนตัก รายล้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าและกล่องกระดาษที่พื้น“มีเด็กไปต้องพร้อม เอาไรลูก เดี๋ยวยายเอาให้”
“ แง ๆๆๆ ” เด็กน้อยส่งเสียงร้องจ้าแทนคำตอบ แม่เลยพยายามปลอบลูกน้อยให้สงบลง ...สีหน้าแม่ค้าเลยยิ้มเจื่อนๆ กระชับถาดในแขนแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น
“ถั่วต้มจ้า ถั่วต้ม มะม่วงมัน น้ำเย็นก็มีเด้อ” แม่ค้าอีกคน เดินร้องไปตามทางเดิน สอดส่ายสายตา หวังว่าจะมีผู้เรียกให้เธอหยุดสักราย
ไม่ห่างกันนัก อีกฝั่งหนึ่ง ภายในอาคารผู้โดยสารเก่าๆ
“ไข่ปิ้ง บ่จ้า ไข่ทรงเครื่อง ไข่สวยๆ บ่ผสมน้ำ ทำเองเด้อจ้า มะม่วงบ่จ้า อ้าว! ลืมมะม่วงหมดแล้ว เธอพึมพำกับตัวเอง และป่าวประกาศใหม่ “บักม่วงขาดตลาดเด้อจ้า.... โอ๊ย !! อีแม่ ไข่ๆๆๆ”
ยังไม่ทันขาดคำ แม่ค้ารุ่นป้าสุดเฟี้ยว ก็ต้องร้องเสียงหลงด้วยความตกใจแทน เมื่อถูกเด็กชายกลุ่มหนึ่งรูปร่างผอมบาง แต่งกายมอมแมม วิ่งมาชนอย่างแรงจนเซถลา ทำเอาไข่ปิ้งกระเด็นกระดอนไปจากถาด
“ นั่น ๆๆ มันอยู่นั่น” เสียงเอ็ดตะโรดังเข้ามาใกล้ๆ ตำรวจและหญิงร่างท้วมสูงวัยวิ่งฝ่าฝูงชนตามมา แต่เด็กกลุ่มนั้นอาศัยความวุ่นวายในสถานีรอดพ้นไปได้
“เฮ้ย ! เจอกันที่เดิม” เสียงเด็กคนหนึ่งร้องบอกเพื่อน ก่อนวิ่งแยกย้ายคนละทาง
หญิงสูงวัยร้องบอกด้วยเสียงเหนื่อยหอบ “ พอ ๆ ๆ เถอะ คุณตำรวจ ไม่ต้องตามแล้ว ไอ้พวกนั้นไวยังกับลิง” ประโยคนี้เองทำให้ตำรวจเปลี่ยนท่าทีและหันมาพูดเป็นเชิงแก้ตัวแทน
“ขอโทษทีนะป้า เจ้าพวกนั้นมันรู้ทางหนีทีไล่ดีชะมัด เล่นเอาผมตามไม่ทัน”
“ไอ้เด็กพวกนี้ งานการไม่ทำ วันๆ มันเอาแต่ดมกาว มันน่ะมีตังค์มากกว่าเราอีกนะ ขอเงินได้มันก็เอาไปซื้อกาวอีก ไม่รักดี” หญิงสูงวัยระบายโมโห “พวกลักเล็กขโมยน้อย แม่เผลอเป็นไม่ได้ หยิบหมดอย่าให้เห็นหน้านะมึง จะเขกกะโหลกเรียงตัว ส่งเข้าโรงเรียนดัดสันดาน” เสียงประกาศคาดโทษต่อหน้าบรรดาไทยมุง
----------------------------
นัท โต้ง บอล เพชร ต่างทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงบนลานดินโล่ง หน้าบ้านร้างแห่งหนึ่ง
“ เฮ้ย ! พวกมึงได้อะไรกันมามั่งวะ” เสียงนัทหัวหน้าแก๊งค์ดังขึ้น “กูอุตส่าห์ดูต้นทาง” และหันมาทางเพชรด้วยความสงสัย “ อ้าว.. แล้วมึงมาจากไหนเนี่ย ไอ้เพชร”
โต้งกับบอลเทขนม ลูกอมที่ซุกไว้ในเสื้อและกระเป๋ากางเกงมากองที่พื้น ขณะที่เพชรตอบ “ก็ฉันเห็นตำรวจวิ่งไล่พี่กับไอ้โต้งไอ้บอลมา นึกว่าจะกวาดจับเหมือนครั้งก่อนนั้น ฉันก็เผ่นก่อนสิ ไม่อยากไปเที่ยวฮ่องกงเหมือนไอ้พวกนั้นหรอก”
“ ก๊ากๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงทั้งสามคนหัวเราะพร้อมกันในคำตอบ
“ขำอะไร” เพชรแปลกใจ
“ พวกกูเล่นโจรหนีตำรวจอยู่ มึงก็อยากเล่นด้วยเหรอ” บอลแกล้งถาม
“นี่ไงของกลาง” โต้งแกะกองขนมตรงหน้า
เพชรชะงัก ก่อนหลุดปากถามเพื่อน “หมายความว่าพวกนายไปขโมยของกันมาเหรอ”
“ทำเป็นตกใจไปได้” นัทเริ่มหงุดหงิด “ไม่งั้นจะมีกินเหรอ หิวจะตายอยู่แล้ว ข้าวยังไม่ตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน”
“ก็พี่นัทเอาแต่ดมกาวทั้งวันนี่พี่” โต้งเสริม
“พวกมึงไม่รู้อะไร สมาคมกับแก๊งค์โน้นก็ต้องมีระดับหน่อย” นัทเล่าต่ออย่างตื่นเต้น “พวกไอ้โจ้มันโชคดีฉิบหาย โดนฝรั่งถ่ายรูปเฉยๆ ได้เงินมาตั้งร้อยนึง ไม่รู้ไอ้ฝรั่งหัวแดงมันแยกแบงค์ไม่ออกหรือไงวะ มันเลยซื้อกาวฉลองกันใหญ่”
“เฮ้อ…ทำไมเราไม่โชคดีอย่างนั้นบ้างนะพี่” บอลพูดพลางหยิบจับขนมกินต่อ
“นั่นสินะ กูจะเอาเงินไปเล่นเกมให้มันส์ไปเลย” โต้งทำมือกดเกมทีวีในอากาศอย่างมันในอารมณ์
“ลักของเขามาอย่างนี้ไม่ดีนะ เดี๋ยวเขาก็ว่าไอ้ขี้ขโมยหรอก กาวนั่นก็เหมือนกันยายฉันเคยบอกไว้” เพชรพูดเตือนเพื่อน
“เรื่องของกู ไปเลยไอ้เพชร” นัทออกปากไล่อย่างฉุนจัด “ถ้ามึงวิเศษนักก็กินดินแทนข้าวให้ได้ก่อน” พร้อมกับกำทรายที่พื้นขว้างใส่ เพชรหลบและมองเพื่อนรุ่นพี่ด้วยสายตาอ่อนใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินเลี่ยงออกมาจากที่นั่น
------------------------
“ติ๋ง..ต่อง” เสียงสัญญาณประตูดังขึ้น พร้อมกับสายตาหวาดผวาของเพชร
ประตูกระจกร้านมินิมาร์ทบริเวณป้ายรถเมล์อันมีข้อความยินดีต้อนรับติดตรงประตู ถูกผลักออกมาจากร้าน เพชรรีบก้าวถอยหลัง โดยมีเด็กหนุ่มดูดน้ำจากแก้วในมือโดยไม่สนใจมอง
“ ครืดๆๆ” เสียงดูดน้ำจนหมดแก้ว ก่อนเด็กหนุ่มจะขว้างแก้วทิ้งอย่างเร่งรีบ วิ่งขึ้นรถเมล์ไป
เพชรก้มลงหยิบแก้วที่น้ำแข็งกระจายตรงพื้น เคาะน้ำแข็งที่เหลือตรงก้นแก้วเข้าปาก เขามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น
“เอาล่ะ ได้เครื่องมือทำมาหากินแล้ว” เพชรพึมพำ และกวาดสายตามองทั่วป้ายรถเมล์ และตรงดิ่งไปยังชายหนุ่มคนหนึ่ง
“พี่ครับ ขอเงินหน่อยครับ” เพชรเงยหน้าบอก
แต่ชายหนุ่มทำทีไม่ได้ยินเสียงนั่น ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือกดเล่นอย่างไร้เลขหมาย เขาจึงเล็งไปยังกลุ่มสาวออฟฟิศที่กำลังเดินคุยกันมา
“ตกลงเที่ยงนี้เราจะกินอะไรกันดี” คนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น
“ฉันว่าพิซซ่าถาดใหญ่แล้วกัน ตอนนี้โปรโมชั่นสุดคุ้มล่ะ สามร้อยกว่าเอง” อีกคนเสนอ
“พี่ครับ ผมขอเงินซื้อข้าวด้วยครับ เพชรส่งเสียงขัดจังหวะการสนทนา หญิงสาวทั้งสามคนปรายตามองอย่างพร้อมเพรียง
“โทษทีจ้ะน้อง ไปขอเอาข้างหน้านะ” หญิงสาวคนเดิมตอบ
“ เอานี่…ไปกันเถอะ ถือซะว่าช่วยเด็กด้อยโอกาสก็แล้วกันพวกเธอ” คนหนึ่งในกลุ่มพูดพร้อมกับหย่อนเหรียญลงแก้วในมือเพชร
เพชรก้มมองเหรียญบาทเหรียญแรกในแก้วอย่างครุ่นคิด
“เฮ้อ……” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่รีบปรับท่าที เมื่อเห็นสองสามีภรรยาสูงวัยดูภูมิฐานกำลังจะเดินผ่าน
“ ทำบุญทำทานคนยากจนด้วยเถอะครับ” เพชรร้องบอกและรีบยื่นแก้วพลาสติกดักหน้า
“นี่คุณอย่าเพิ่งไป มีเศษตังค์ไหม ” ภรรยาเรียกสามีให้หยุดเดิน และควานหาเหรียญในกระเป๋าถือ
“อยากทำบุญไปทำที่วัดก็ได้น่ะคุณ ผมยิ่งรีบๆอยู่ เด็กเหลือขอพวกนี้เมื่อไหร่ตำรวจจะกวาดล้างให้สิ้นซากสักที น่าเบื่อเต็มทน” สามีกระตุกแขนภรรยาให้เดิน เพชรหน้าสลดลง
------------------------
เพชรเตะกระป๋องน้ำอัดลมกลิ้งไปมาบนพื้นแทนลูกฟุตบอลด้วยความเบื่อหน่าย บริเวณริมฟุตบาทป้ายรถเมล์ จังหวะนั้นเตะแรงจนกระป๋องกระเด็นออกไปไกล ลุงชาติก้มลงเก็บกระป๋องใบดังกล่าว บนบ่ามีถุงพลาสติกใบเขื่องสีขุ่นอัดแน่นด้วยเศษขยะ
“ เฮ้ย! ทำตัวเกะกะระรานหรือเจ้าเพชร” ลุงชาติตำหนิ มองหาพื้นที่ว่างฟุตบาทนั่งพัก
“ เปล่านะลุงชาติ ผมไม่ได้เกเร” เพชรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ก็ดีแล้ว แล้วนี่เอ็งไม่ไปขายพวงมาลัยหรือวันนี้” ลุงชาติสงสัย
“ยายไม่ค่อยสบายน่ะครับ เลยไม่ได้ร้อยมาลัย วันนี้ผมเลยมาขอเงินเขาเอา” เพชรตอบอย่างไม่สบายใจนัก
“ มิน่าเอ็งถึงทำท่าซังกะตาย” ลุงชาติเข้าใจ
“ นึกดูสิลุง ขอเงินมันก็อาชีพสุจริต ไม่ได้ขโมยใคร เขาไม่มีน้ำใจจะให้ ผมก็ไม่เคยด่าว่าเขาสักหน่อย” เพชรเอ่ยอ้างอาชีพของตน “ นี่อะไร เดี๋ยวก็เด็กเหลือขอบ้างล่ะ เด็กจรจัดบ้างล่ะ อยากจะให้ตำรวจจัดการผมท่าเดียว” เพชรทอดสายตามองไปยังรถที่แล่นไปมาบนท้องถนน
“เป็นธรรมดาล่ะไอ้เพชรเอ๊ย เอ็งต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ เอาอย่างนี้ไหมล่ะวันนี้ลุงจะพาเอ็งไปทัวร์ขุมทรัพย์ของลุง สนใจไหมล่ะ” ลุงชาติชักชวน
“ครับลุง” เพชรตอบทันทีอย่างกลัวลุงชาติจะเปลี่ยนใจ
“งั้นอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” ลุงชาติฉุดมือเพชรลุกขึ้นยืน
------------------------
“กองขยะนี่นะ ขุมทรัพย์ของลุง” เพชรจ้องภูเขาขยะตรงหน้าอย่างสงสัย ไกลออกไปมีชายหญิงสองสามคนอยู่กระจัดกระจายกัน เดินก้มๆเงยๆ เก็บขยะ
“ เออสิวะ” ลุงชาติตอบ “อย่าดูถูกไป ไอ้ขยะพวกนี้ขายได้เงินทั้งนั้นนะ เอ็งต้องหาพวกพลาสติก เศษกระดาษ กระป๋อง หรือไม่ก็ขวดแก้ว เศษเหล็ก อะไรเทือกนี้แหละ”
“แล้วเขาซื้อไปทำอะไรล่ะลุง” เพชรแปลกใจ
“ ภาษาปะกิตมันว่าไงนะ รี..รี..รีไซเคิล ข้าเกือบลืม” ลุงชาติหัวเราะและอธิบายต่ออย่างภูมิใจ “ที่เอาของเก่ากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ไง อาชีพอย่างลุงเรียกได้ว่าเป็นผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมได้เชียวนา”
“พิทักษ์ยังไงครับ” เพชรอดไม่ได้ที่จะถามต่อ
“ก็ให้มนุษย์ทำลายธรรมชาติน้อยลงไง อย่างที่เอ็งเห็นทุกวันนี้ขยะเยอะเหลือเกิน ถ้ามันกลายเป็นทรัพยากรมีค่าได้เหมือนป่า เหมือนน้ำ ป่านนี้ประเทศเราคงร่ำรวยไปแล้ว” ลุงชาติบ่น
“แล้วมันจะเป็นอย่างที่ลุงว่าได้จริงหรือครับ” เพชรอยากรู้
“ในอนาคตก็อาจไม่แน่ คงมีคนเก่งๆสักคนหรอกที่เขาทำได้ แต่ไม่รู้อีกนานแค่ไหน” ลุงชาติตอบอย่างหมดหวัง
“งั้นตอนนี้ผมจะเก็บไปรีไซเคิลก่อนแล้วกัน” เพชรตอบ ก่อนจะกระโดดย่ำกองขยะ วิ่งไปรอบๆ ค้นหาสิ่งของที่ต้องการอย่างเอาจริงเอาจังกับลุงชาติจนกระทั่งเย็น
-------------------------
“เอานี่ 20 บาท ส่วนแบ่งของเอ็งเจ้าเพชร” ลุงชาติยื่นเงินส่งให้เพชร ทันทีที่ออกจากร้านของเก่า ขณะนี้ถุงพลาสติกที่เคยอัดแน่นว่างเปล่าลงแล้ว
“ขอบคุณครับลุง” เพชรรับเงินใส่กระเป๋ากางเกง กุมมันไว้อย่างระมัดระวัง
“โตขึ้นเอ็งอยากเป็นอะไรเจ้าเพชร” ลุงชาติชวนคุยระหว่างเดินกลับบ้าน
“ผมอยากเรียนหนังสือต่อ ผมอยากเป็นนักเรียน” เพชรตอบขึงขัง
“เออเข้าท่า ใฝ่ดีจริงนะเอ็ง” ลุงชาติตบบ่าเพชรอย่างชื่นชม
“แล้วลุงล่ะครับ” เพชรถามบ้าง
“ ฮ่าๆๆๆ ลุงน่ะเหรอ” ลุงชาติหัวเราะกับคำถามก่อนตอบอย่างจริงจัง “ลุงจะเป็นเจ้าของร้านขายของเก่ากะเค้ามั่ง ถ้ามีโอกาสจะซื้อรถซาเล้งสักคัน ขับตระเวนรับซื้อของเก่าตามหมู่บ้าน รายได้คงดีกว่านี้”
“โอกาสหรือครับ ผมยังมองไม่เห็นโอกาสที่ว่าบ้างเลย” เพชรพูดอย่างสิ้นหวัง
“ มันต้องมีสิอย่าเพิ่งท้อยังไม่ทันจะเริ่มต้นเลย พระอาทิตย์ตกดินใช่ว่าชีวิตจะต้องสิ้นตาม” ลุงชาติพูดพลางมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า
“แต่ผม…..” เพชรไม่มีคำโต้แย้ง
“ลุงเชื่อว่าเด็กดีอย่างเอ็ง สักวันต้องได้ดี” ลุงชาติพูดให้กำลังใจ
“ ป๊อก ….ๆๆๆๆๆ แป๊กๆๆๆๆๆ” เสียงตอกตะปู ลุงชาติและเพชรมองคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังขึ้นป้ายหน้าบ้านหลังหนึ่งขณะเดินผ่าน
ดูนั่นสิ” ลุงชาติชี้ให้เพชรดูป้ายอันเป็นที่มาของเสียง
“มูลนิธิเพื่อนเด็ก” เพชรอ่านป้ายนั้น
“ลุงว่าโอกาสของเพชรมาถึงแล้วล่ะ” พูดจบลุงชาติก็ร้องถามชายที่เพิ่งลดมือลงจากป้าย ในมือกำฆ้อนไว้หลวมๆ “นี่ๆๆ พ่อหนุ่ม ที่นี่เค้าจะทำเป็นอะไรกันเหรอ”
ชายผู้นั้นหันมาตอบอย่างใจดี “ บ้านหลังนี้จะเป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลือเด็กที่ได้รับความเดือดร้อน ให้มีที่อยู่ ที่กิน แล้วก็สอนให้ได้รู้หนังสือด้วยจ้ะลุง”
แววตาเพชรเปล่งประกาย เด็กน้อยเอื้อมมือมาจับแขนลุงชาติไว้แน่น
ลุงชาติก้มมองหน้าเพชร ทั้งสองสบสายตากัน เพชรยิ้มให้ลุงชาติอย่างดีใจ
 
--------------จบ------------------
Go to top