น้าผมพูดว่า “ผักกระถิน มันก็มีคุณค่า เทียบเท่ากับ การที่เราได้กินเนื้อ นั้นละ”
บทที่ 18 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
ความไม่เพียงพอของชีวิต ไม่ใช่อุปสรรคของวิถี “คนกล้า” ที่มีจิตใจมั่นคง อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ (แรงบันดาลใจ และความฝัน) เส้นทางที่ต้องเดิน ต้องเผชิญกับหลายเรื่องราว ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จ สมหวัง ได้ทุกเรื่อง เหมือนกันทุกคนไป ไอ้ความผิดหวังในชีวิตของคนเราดูเหมือนว่า จะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าความสมหวังเสียอีก แต่มันไม่อาจเป็นอุปสรรคกรีดขวางหนทาง “ผู้กล้า” ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จข้างหน้า เมื่อทิศทางนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว
ครั้งหนึ่ง เมื่อวัยเยาว์ ความไม่เพียงพอ ดูเหมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตช่วงนั้นของผม แต่หากมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย สำหรับเด็กหนุ่มแรกรุ่น หากมันเป็นความไม่เข้าใจ ในส่วนหนึ่งของความคิด ที่มีแต่ “ทำไม” และทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้ ในบางทีทำไมเราถึงเป็นเช่นนั้น ความไม่เข้าใจเหล่านี้ก็ไม่ใช่อุปสรรค ของการใช้ชีวิตอันสุ่มเสี่ยงในช่วงวัยรุ่น (ก็แค่บทเรียนของชีวิต บทต้นๆ เท่านั้นเอง) เด็กที่ไหนไม่เคยหัดตั้งไข่ เกิดมาพอโตได้ก็จะเดิน พร้อมวิ่งได้ทันที หากมี นั้นคือผู้มีบุญมาเกิด ถือกำเนิดมาเพื่อเป็น “พระพุทธเจ้า” หากแต่การอุบัติขึ้นในโลกนั้น แสนยากนัก ไม่รู้อีกกี่ “อสงไขยกัป” เมื่อสิ้น “ภัทรกัป” นี้แล้ว
“ภัทรกัป” หมายความว่า กัปอันเจริญ กัปปัจจุบัน ได้กำเนิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว ถึง 5 พระองค์ (ตามพระพุทธศาสนา)
ส่วนคำว่า “อสงไขยกัป” หมายความว่า นับไม่ถ้วน หรือนับไม่ได้ หากเราลงรายละเอียด คนธรรมดายากที่จะเข้าใจ คงต้องศึกษา เรื่องนี้อย่างจริงจัง ลองทำความเข้าใจดูเองนะ (หนึ่งอสงไขยเท่ากับหนึ่งโกฏิยกกำลัง 20 หมายถึง (107) 20 ซึ่งก็เท่ากับ 10140 ) หมายความว่ายังไงหนอ สำคัญหรือ
เห็นไมครับ เราเกิดมาถ้าไม่เคยล้มเลย ยิ่งดูลำบากมากกว่าอีก “ล้มเองทุกวัน” แล้วลุกขึ้นเองได้ทุกวัน ถึงจะมีแผลเต็มตัว ก็ยังดีที่ได้รู้จัก “ความเจ็บปวด” นั้นคือความหมายของ “ชีวิต” เพราะเรายังโชคดี ที่ได้มีความรู้สึกกับอารมณ์ต่างๆ ของมัน หากไม่รู้สึกเลย จะไปต่างกับวัตถุธาตุที่ไร้ชีวิต ถูกกระทบอย่างหนัก รับอารมณ์อะไรไม่ได้เลย มีแต่ยุบ บุบ พุพังไป แบบนั้นแล้ว จะอยู่เพื่อสิ่งใด “คน” เมื่อเกิดมาเพื่อหาความหมายของการดิ้นรน แสวงหา สิ่งที่ต้องการบนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตได้อาศัย ให้คนแสวงหาปัจจัยความต้องการ เครื่องอยู่เครื่องอาศัย อย่างเพียงพอ หากแต่โลกใบนี้มันตั้งกฎ กำหนดให้คนที่มีความต้องการ ได้แสวงหา แย่งชิง ไขว่คว้ากันเอาเอง ความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลย มันเป็นเช่นนี้ครับ
ครูประถมศึกษาผู้ห่างไกล “ครูบ้านนอก” บรรจุใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปี ที่แล้ว ช่วงนั้นอัตราเงินเดือน ครูปริญญาตรี ไม่ได้รับความสมควรเหมือนทุกวันนี้ “ครูประชาบาล” ลงสนามใหม่ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ช่วงสมัยนั้น ต้องรอการตกเบิก ผมเองก็ไม่เขาใจ ก็น้าชาย ผมบอกเล่าให้เราฟัง เรื่องเป็นอย่างนี้ ช่วงนี้รายได้จึงยังมาไม่ถึงมือ เมื่อตอนน้าไปเป็นครูใหม่ๆ เส้นทางที่ไปสอนไกล และกันดารมาก ต้องผ่านเขา ผ่านป่า เส้นทางแสนวิบาก ยามใดฝนตก ต้องเผชิญกับ หลุม บ่อโคลน ความลื่นไหลของถนนดินแดง เพราะเส้นทางนี้ เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านได้อาศัยเดินทาง และทำปศุสัตว์ (ทางวัวเดิน) ปัจจุบันเป็นเส้นทางไปแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ของอำเภอ ในจังหวัดเลย สะดวก สบายแล้วครับ
ถึงกระนั้นน้าผมก็ไม่เคยบ่นซักคำ (หรือจะพูดไม่ออกก็ไม่รู้) ลืมบอกไปว่า แก่มีมอเตอร์ไซค์ “ฮอนด้า” รุ่นคุณปู่ ที่สมัยนี้เด็กวัยรุ่นแสวงหา นิยมนำมาแต่งสวยเป็นแฟชั่นฮิตในยุคหนึ่งละครับ รถคู่ใจขาไปก็ดี แต่ขากลับก็มัดนั้น ผูกนี้กันมาละครับ อาทิตย์ หรือสองอาทิตย์จะกลับเข้ามาบ้านในเมือง เพื่อมาดูแลผม ว่าอยู่ดีรึเปล่า ก็ได้รับ “อานิสงส์” จากน้าคนนี้ อยู่เสมอ เรียกได้ว่ามีชีวิต เป็นผู้เป็นคนมาได้เพราะแกเลยที่เดียว ยิ่งความชอบในเรื่องศิลปะด้วยแล้ว ผมได้รับอิทธิพลโดยตรง จากแกมาเลย น้าผมวาดภาพได้สวยมาก ยิ่งภาพลายเส้น เมื่อก่อนตอนเด็ก ผมชอบเอาผลงานของน้าออกมาชื่นชม ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะเรียนศิลปะ แต่พอแกสอนผมก็ไม่ค่อยจะไปไวซักเท่าไร ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่นเขา นำหน้าผมไปแถบไม่เห็นฝุ่น อาจเป็นเพราะผม เป็นคนสมาธิสั้น ห่วงแต่เล่น เรียกว่าติดเพื่อนละครับ สิ่งนี้ เรียกได้ว่า ไม่เพียงพอ เหมือนกัน ไอ้เรื่องความไม่เพียงพอนี้ก็เลยเป็น ”คู่ซี้” ของผมเลยทีเดียว มีครั้งหนึ่งซึ่งผมเองจดจำได้ดี แม้ขาดแคลน ยากลำบากของช่วงชีวิต แต่กำลังใจที่น้าผมมีให้ คำปลอบประโลมใจ แบบแปลกๆ มีเหตุผล มีนัยยะในตัว ลึกซึ้งแบบง่ายๆ วันหนึ่งน้าผมกลับมาถึงบ้านพร้อมรถคู่ใจ (อีแก่ของน้า) ก่อนจอดรถหน้ารั้วสังกะสี แบบต้องยกขึ้นแล้วจึงเปิดไปอีกฝั่งได้ ผมดีใจ และแปลกใจ สิ่งที่น้าผมหอบมา มันคือกิ่งของต้นกระถิน ที่มีฝักแก่จำนวนมาก น้านำมาวางไว้ที่แคร่ไม้ไผ่ ต่อหน้า ต่อตาผม แก่ถามผมว่า “กินข้าวรึยัง หิวไม” ผมยังไม่ได้กิน ในบ้านไม่มีกับข้าวเลย พอน้าวางของสักครู่ ก็ไปยิบพริกป่นมาละลายกับน้ำปลายกมาที่แคร่ สนิทกับกิ่งกระถินที่ไม่รู้แกไปหักมาจากไหน (คงไม่ต้องสืบค้นนะครับ) ยังดีที่น้าสาวก่อนออกไปทำงาน แกหุงข้าวทิ้งไว้ (ก็คงไม่อยากให้เราอดหรอก) ผมเข้าไปในบ้านยกหมอข้าวออกมา น้าผมจัดแจงเรื่องจาน ชามเรียบร้อย ผมก็ตักข้าวส่งให้น้า ผมตักน้าพริกผงที่ละลายน้าปลาขึ้นคลุกข้าว ผมสังเกตุเห็นน้าลอกฝักกระถินแก่ โรยเมล็ดคลุกกับข้าว ตักกินอย่างอร่อย ก่อนจะหันมาพูดกับผมคำหนึ่ง ซึ่งเป็นคำพูดที่ผมไม่เคยลืม และเคยนำไปใช้สมัยอยู่กรุงเทพฯ นึกถึงทุกครั้งตอนไม่มีจะกิน และได้พูดให้เพื่อนๆ ฟังเสมอๆ เมื่อมีโอกาส คำนั้นเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตผมสู้ต่อไป ในยามท้อ หมดกำลังใจ น้าผมพูดว่า “ผักกระถิน มันก็มีคุณค่า เทียบเท่ากับเราได้กินเนื้อ นั้นละ” เขาใจครับ (แต่มันเหมือนกันอีตรงไหน ละน้า)