“หลวงพ่อไม่ต้องการเป็นสังฆราชหรอก แต่หลวงพ่อต้องการครองโลก โลกทั้งใบ”
ประโยคคำพูดที่ตราตรึงอยู่ในใจของ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตพระสงฆ์องค์สำคัญแห่งวัดพระธรรมกายนับตั้งแต่ได้รับฟังยังคงอยู่ในห้วงความคิดของเขาจนถึงปัจจุบัน และคนที่พูดคำนี้หาใช่ใครอื่น นอกจาก“พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
“โพสต์ทูเดย์” พูดคุยกับ นพ.มโน อดีตศิษย์รักคนสำคัญของพระธัมมชโย ที่เคยไว้วางใจบอกทุกเรื่องราว “หมอมโน” แยกทางกับพระธัมมชโยเมื่อปี 2541 เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมสงฆ์ของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พร้อมชำแหละถึงด้านมืดและความเสื่อมของพระธัมมชโยที่แปรเปลี่ยนวัดพระธรรมกายรวมถึงพุทธศาสนาจนถูกวิจารณ์ว่าผิดเพี้ยน
นพ.มโน เปิดฉากเล่าว่า ในช่วงวัยรุ่นพระธัมมชโยในคราบของนักเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นคนที่ใฝ่รู้ ชอบอ่านหนังสือ และแผงหนังสือย่านสนามหลวงคือที่สิงสถิต ส่วนใหญ่แล้วพระธัมมชโยจะมักไปยืนอ่านหนังสือฟรี เพราะไม่มีสตางค์จะไปซื้อมาเป็นของตัวเองและหนังสือที่ชอบมากที่สุดคือประวัติศาสตร์บุคคล
“เขาชอบศึกษาบุคคลที่สำคัญๆ ว่าเขาสำคัญมาได้อย่างไร คนที่ชอบมากที่สุดเรียกว่าบูชาเลยก็ว่าได้ คือ อดอฟต์ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการพรรคนาซี ถือเป็นบุคคลในฝันของพระธัมมชโย และใช้เป็นต้นแบบในการบริหารวัดพระธรรมกายอีกด้วย ส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบอาจจะมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง กระทั่งวันเกิด ฮิตเลอร์เกิดวันที่ 21 เม.ย. แต่พระธัมมชโยเกิดวันที่ 22 เม.ย. เวลาตกฟากเดียวกัน และที่สำคัญคือเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน นั่นจึงสะท้อนแนวคิดของพระธัมมชโยว่าทำไมเขาจึงอยากครองโลก”
อดีตในวัยเยาว์ของพระธัมมชโยเป็นเด็กที่มีปมด้อย เนื่องจากว่าพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ได้ขวบปี และต้องระเห็จไปอยู่บ้านญาติชนิดที่เรียกว่าย้ายบ้านทุกเดือน และโหยหาความรักมาตลอด แต่จุดเด่นคือก่อให้เกิดความละเอียดอ่อนในตัวเอง จะเป็นคนที่คอยจ้องความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอด และมีคำถามว่าคนนี้รักเราหรือเปล่า ทำอย่างไรเขาจะรักเราให้มากที่สุด
“และข้อเสียจากความผิดพลาดในครอบครัวก็เป็นแรงผลักดันให้พระธัมมชโยเกิดความทะเยอทะยาน ด้วยว่าทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องเป็นใหญ่ จึงเกิดการอยากได้ทุกอย่าง อยากได้อำนาจ ถ้าได้โลกทั้งโลกก็เอา นี่คือตัวตนของเขา” หมอมโนย้อนภาพให้เห็น
นพ.มโน เล่าว่า แววผู้นำของพระธัมมชโยมาเห็นชัดที่สุด คือได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เก่งถึงขนาดคุมคนนับพัน
ให้เชื่อฟังได้ ยังไม่พอพระธัมมชโยหรือในขณะนั้นคือนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ยังเป็นหัวหอกยืนจังก้าใส่กางเกงในตัวเดียวขับไล่อธิการบดีของมหาวิทยาลัย อีกด้วย
แก่นแห่งการชักนำจูงผู้คนให้หันเข้าหาตามวิชาพระธรรมกายสำหรับพระธัมมชโย คืออ้างอิงเรื่องบุญ ทำให้คนกลัว และให้อยากได้บุญ วิธีคือจะเป็นการคุมบุญทั้งหมดที่อ้างว่าได้รับมาจากพระพุทธเจ้าจากชั้นนิพพาน เพื่อให้พระธัมมชโยแจกจ่ายบุญนั้นให้กับประชาชน แลกกับการซื้อบุญ
“ใครที่เลวมาจากไหน โกงใครมา ทำผู้คนย่อยยับ มาล้างบาปซื้อบุญกันที่นี้ได้หมด เสียเท่าไหร่เท่ากันแต่ได้บุญ สั่งให้บุญใครก็ได้ ให้มั่งคั่งให้รวย ขณะเดียวกันจะลงโทษใครที่ไม่ทำตามคำสั่ง ก็อ้างบุญเช่นกัน ขู่ญาติโยมต่างๆ จะเอาบุญสำหรับที่จะใช้ไปใส่เซฟ ในคุกลับ ตายไปไม่ได้ผุดได้เกิดเป็นพันๆ หมื่นๆ ชาติ คนก็กลัว กลัวก็ต้องทำตาม”
กลเม็ดในการคุมคนจึงเกิดขึ้นตามมา ขณะที่พระธัมมชโยตัดสินใจมานุ่งผ้าเหลืองและพกพาความคิดตามบุคคลที่เขาบูชาติดตัวมาด้วย และสิ่งนี้เองที่แปรเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล จากวัดกลายเป็นธุรกิจ มีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัดล้วนแต่ขัดหลักธรรมคำสอนตามพุทธศาสนา กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายระหว่างศิษย์รักกับพระอาจารย์ที่เคารพรักนับถือกันได้สะบั้นลง
“หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผมไปเจอเอกสารว่าเขา (พระธัมมชโย) ไปตั้งบริษัทไว้หลายแห่ง บางแห่งใช้ชื่อลูกศิษย์เพื่อทำธุรกิจต่างๆ แต่ที่หนักที่สุดคือมีบริษัทค้าอาวุธที่เชื่อมโยงไปถึงพระธัมมชโยด้วย เพราะมีการชักจูงจากสีกาคนหนึ่งที่มีพี่ชายเป็นนายพลทหารในสวนรื่นฯ เข้ามาซื้อขายอาวุธให้กับทางกองทัพ ผมเข้าไปเตือนเขาว่าให้หยุดเถอะ ไม่ดี แต่เขากลับตอบมาว่าอย่ามายุ่ง นี่คือเรื่องส่วนตัว เท่านั้นผมก็พอ เพราะไม่ใช่พุทธแล้ว นี่คือธุรกิจของธัมมชโย เพื่อต่อยอดให้เขาได้ความยิ่งใหญ่”
เมื่อชื่อเสียงมากมายและมีระบบการปกครองภายในวัดที่แน่นหนา ยากที่คนนอกจะเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายได้ หนำซ้ำยังมีมวลชนอีกจำนวนนับล้านที่หลงเชื่อคอยหนุนหลังพระธัมมชโย นพ.มโน มองว่าไม่แปลกที่ทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง รวมถึงบุคคลสำคัญระดับประเทศ จะวิ่งเข้าหาพระธัมมชโยเพื่อสร้างผลประโยชน์ระหว่างกัน
นพ.มโน ยกตัวอย่างให้เห็นถึงวิธีการเอื้อผลประโยชน์ระหว่างกัน เช่น คดี ศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหาฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่เข้าหาพระธัมมชโยเพราะเห็นมวลชนมาตกลงทำสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐีขึ้นมา คือให้กู้สำหรับคนที่อยากทำบุญกับวัด ผ่อนได้ คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 12 คนให้ทุนจะได้ผลตอบแทนร้อยละ 8 ผู้คนจึงแห่เอาเงินมาลงทุน เพราะอย่างไรเสียก็อยู่กับวัดและมีพระธัมมชโยการันตีอีกด้วย
เขาบอกว่าเงินตรงนี้มีการแบ่งระหว่างศุภชัยและพระธัมมชโย มีการถ่ายเงินออกเป็นระลอกโดยการเอาไปฝากกับลูกศิษย์คนต่างๆ นับร้อยล้านบาท และโอนย้อนกลับมายังพระธัมมชโย และเจ้าอาวาสคนดังก็ใช้เงินตรงนี้ในนามของวัด และมูลนิธิเข้าไปซื้อที่ดินต่างๆ แต่ถือครองเอง เป็นกรรมสิทธิ์เอง เมื่อหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบก็ไปยึดไม่ได้ จะยึดได้อย่างไรที่วัดที่เป็นของหลวงอยู่แล้ว แต่จริงๆ คือการสร้างอำนาจให้ตัวเองยิ่งใหญ่มากขึ้น
“เมื่อเงินคนหายก็มีการร้อง แต่จะเอาผิดได้อย่างไรเมื่อคนการเมืองก็ยังเป็นของเขา รัฐบาลชุดก่อนจะทำอะไรได้ เมื่อมีอำนาจการเมืองหนุนอย่างนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปดูก็บอกว่าไม่มีมูลทำคดีไม่ได้ คนก็โวยกันใหญ่ว่าเงินฉันหาย เงินสะสมทั้งชีวิตกลายเป็นแค่เศษกระดาษ นี่มันทำร้ายประชาชน ใจร้ายมาก คนคนนี้ไม่เคยปรานีกับใคร เพราะแรงหนุนเขาเลยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ใครจะด่าจะว่าช่างมัน กูไม่สน ทุกวันนี้ธรรมกายเป็นองค์กรข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กระจายไปแล้วถึง200 ประเทศทั่วโลก”
กระหน่ำต่อจากคำพูดของอดีตศิษย์เอกว่า เป้าหมายของเขาคือการครองโลก ทำให้มีศิษย์เยอะที่สุดและให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของโลกตามรูปแบบธรรมกาย กลไกการยุติธรรมทั้งหมดเคยมีมั้ยที่สั่งให้ถอนคดีของธัมมชโยทั้งหมดรวม 52 คดี แม้แต่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของธัมมชโยยังถูกถอดออกเช่นกัน เขาใหญ่แค่ไหนคิดกันเอาเอง
แต่เมื่อความเสื่อมมาเยือนวัดพระธรรมกาย ทำไมการโค่นเขาลงอย่างที่หลายคนปรารถนาจะให้เกิด จึงกระทำไม่ได้ นพ.มโน พร้อมจะให้คำตอบในฐานะคนเคยอยู่ก้นกุฏิของพระธัมมชโย
ทุกอย่างในประเทศจะเป็นธรรมกายหมดและเกิดจักรพรรดิสงฆ์ขึ้นมา เราจะก้าวไปสู่ยุคมืดของศาสนา เป็นประเทศไทยแบบธรรมกาย เขาเปลี่ยนชื่อประเทศยังได้เลย
หมอมโน ย้ำว่า หากเอาไม่ลง เขาจะเป็นมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถ้าไม่ทำ ไม่จัดการเขา ทุกอย่างจะพังหมด อันที่จริงมันผิดมาตั้งนานแล้ว พระไม่ควรจับเงิน ควรแก้ตรงนี้ แต่พระคุณเจ้าทั้งหลายจะยอมปล่อยไหม อย่าลืมว่าพระธัมมชโยซื้อไว้ทั้งหมด ให้ชีวิตหรูหรา ตรงนี้น่าดูฝีมือของผู้มีอำนาจแห่งยุคเหมือนกัน
ห้องนอน-ครีมทาหน้า 5 เรื่องลับนะจ๊ะ
นพ.มโน ได้เล่าเรื่องลับฉบับย่อของพระธัมมชโย ให้ฟัง
1.ภายในวัดพระธรรมกายจะมีโรงครัวอยู่ 2 โรง หนึ่งโรง ทำให้ญาติโยมและพระในวัด อีกโรงจะทำให้พระธัมมชโยเท่านั้น คนอื่นไม่อนุญาตให้กิน โดยใช้วัตถุดิบราคาแพง เน้นบำรุงร่างกาย
2.พระธัมมชโยชอบความสำอาง การประทินผิว ชอบการนวดหน้าด้วยครีมราคาแพง ใช้ในหมู่ดาราฮอลีวู้ด
3.พระธัมมชโยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร หากสงสัยหรือไม่เกิดศรัทธาบุญจะหก
4.ห้องนอนพระธัมมชโยจะมีหญิงสาวหนึ่งคนคอยเปลี่ยนผ้าปูเตียงใหม่ทุกวัน
5.พระธัมมชโยมีอารมณ์สุนทรีและมีความเป็นศิลปินสูง โดยมีพรสวรรค์ในงานปั้น ชอบปั้นรูปคนโดยเฉพาะผู้หญิง
อันตรายต่อพุทธศาสนา
คำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ 27 ปีก่อนที่ว่า “เป็นห่วงเรื่องวัดพระธรรมกายมากที่สุด” เหมือนมองทะลุปัญหาจนปรากฏเป็นจริงในปัจจุบัน
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ปราชญ์ด้านศาสนา เขียนหนังสือ “กรณีธรรมกาย” บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา เมื่อปี 2542 สรุปประเด็นของพระธรรมปิฎกต่อมุมมองปัญหาธรรมกาย ดังนี้
1.กรณีธรรมกายหมายถึงชื่อเรียกโดยรวมเกี่ยวกับพฤติการณ์ต่างๆ สรุปแล้วมี 2 ลักษณะ คือ การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตและการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย
2.การทำพระธรรมวินัยให้วิปริตที่พบว่ามีสาเหตุมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทำลายความน่าเชื่อถือของพระไตรปิฎก การปลอมปนคำสอนในลัทธิของตนลงในพระไตรปิฎก การพยายามยกย่องครูบาอาจารย์ของตน ถึงขนาดที่ใช้ทัศนะอ้างเป็นมาตรฐานเพื่อตัดสินหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา รวมถึงอรรถาธิบายชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจว่าบุญมีฐานะเป็นดุจสินค้าชนิดหนึ่งและเมื่อทำบุญจะให้ผลสัมฤทธิ์อย่างปาฏิหาริย์
3.การประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยเฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การพยายามนำเอาลัทธิทุนนิยมที่อยู่ในระบบการตลาดเข้ามาผสมผสานกับการบริหารวัด รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กรทางธุรกิจ การเมือง ส่งผลให้สำนักวัดพระธรรมกายกลายเป็นสำนักที่มีความเจริญอย่างรวดเร็วทั้งในทางวัตถุ ทุนทรัพย์ และในทางชื่อเสียง แต่วิธีเหล่านี้เป็นพฤติการณ์ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธศาสนาที่เน้นความเรียบง่ายและไม่เกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยม
4.พฤติการณ์อันสืบเนื่องมาจากสำนักวัดพระธรรมกายทั้งหมดนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งถึงรากฐานชนิดที่ว่า ถ้าสำนักวัดพระธรรมกายทำสำเร็จตามจุดมุ่งหมายจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทต้องสูญสิ้น และสังคมไทยก็อาจกลายเป็นสังคมที่มีค่านิยมหวังผลดลบันดาล มัวเมาอยู่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และถูกหลอกให้เพลินจมอยู่ในสุขอันดื่มด่ำจากสมาธิวิธีที่ถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิและเต็มไปด้วยผู้คนที่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม และวัตถุนิยมอย่างงมงาย ไม่อาจหลุดพ้นเป็นอิสระไปจากการครอบงำของลัทธิเหล่านี้ได้
ข่าวจาก: http://bit.ly/1wABeEL เว็บ Posttoday.com