ทำความรู้จัก "มาวิน จิรไพศาลกุล" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ทอฝัน โซเชียลเน็ตเวิร์กเลือดไทย กับแนวคิดแบ่งปันรายได้ให้ผู้ใช้ ผ่านไอเดีย อุดมคติ และความในใจที่ประกาศว่าอยากมอบความสุขและสร้างชื่อเสียงให้คนไทย ไกลระดับโลก...
ทุกวันนี้... ใครยังไม่ใช้เฟซบุ๊ก?? เชื่อว่าทุกคนคงปฏิเสธความเชยดังกล่าว และขานรับโซเชียลเน็ตเวิร์กดังกล่าวเข้าไปอยู่เต็มหัวใจแล้ว หากละสายตาออกจากเฟซบุ๊กมาอ่านเรื่องราวที่ ทีมข่าวไอทีออนไลน์ นำเสนอในวันนี้ซักครู่ คุณจะได้มีเรื่องราวไปคุยกับคนอื่นได้รู้เรื่อง ว่านอกจาก "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ที่ก่อตั้งเฟซบุ๊กจนขยายเครือข่ายผู้ใช้และโด่งดังไปทั่วโลก ประเทศไทยก็มี "มาวิน จิรไพศาลกุล" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ทอฝัน (thorfun.com) โซเชียลเน็ตเวิร์กเลือดไทยแท้ ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นเฟซบุ๊กสายขาว!! และเขากำลังจะโกอินเตอร์เรียกเรตติ้งให้ประเทศไทย
ชาย หนุ่มวัยเพียง 20 ต้นๆ ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท ทอฝัน จำกัด ผู้ก่อตั้ง "เว็บไซต์ทอฝัน" เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างโซเชียลเน็ตเวิร์กในแบบฉบับสีขาว ว่า ทุกธุรกิจเริ่มต้นจากการสร้างมูลค่าโดยผู้ใช้ แต่เว็บทอฝันนั้นเกิดจากแนวคิดที่ต้องการคืนความสุขให้ผู้ใช้ ภายใต้รูปแบบการแบ่งปันรายได้ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดของโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ที่สามารถทำรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีจากประเทศไทย
ทอฝัน มีรูปแบบเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กระบบ User Affiliate แบ่งรายได้ 51% ให้ผู้ใช้งาน ซึ่ง มาวิน ยึดมั่นเป็นผู้มีอุปการคุณสำคัญของธุรกิจ เขาให้คำจำกัดความทอฝันว่า เป็นคอนเทนต์แชร์ริ่ง (Content Sharing) ปัจจุบันผู้ใช้สามารถสร้างบล็อกและอัลบั้มภาพได้ ส่วนฟีเจอร์วิดีโอนั้นกำลังจะมีในอนาคตอันใกล้ ซึ่งหากสิ่งที่สร้างขึ้นนั้นมีผู้อ่านหรือผู้ติดตาม ผู้ใช้ซึ่งเป็นเจ้าของคอนเทนต์ก็จะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากค่าโฆษณา 51% ในทันที แม้การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในปัจจุบันจะทำให้ผู้คนมีความสุขจากการแบ่งปัน หรือการแชร์แล้ว แต่เรามองว่าอยากให้ทุกคนมีความสุขเป็นแกนหลัก รวมถึงการแบ่งปันรายได้และคอนเทนต์ที่จะเกิดขึ้นเป็นของแถมตามมา
ไม่ ต้องกลัวว่าเป็นเว็บไซต์ใหม่แล้วจะใช้งานยุ่งยาก เพราะมาวิน อธิบายให้ฟังว่า รูปแบบของเว็บทอฝันนั้นไม่ได้แตกต่างจากเฟซบุ๊กมากนัก เพียงแค่เปลี่ยนจากแชร์สถานะหรือโพสต์ต่างๆ เป็นคอนเทนต์ซึ่งอยู่ในรูปแบบบล็อก อัลบั้ม และวิดีโอ เรียกให้เห็นภาพและเข้าใจง่ายขึ้นก็คือ เว็บทอฝันนั้นมาในรูปแบบเฟซบุ๊กลูกผสมยูทูบ! ซึ่งผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ดังกล่าวได้จากการแชร์
"ผมไม่ ได้คิดมาสู้กับเฟซบุ๊ก คู่แข่งโดยตรงน่าจะเป็นคอนเทนต์โพรวายเดอร์ หรือบล็อกเกอร์ ในทอฝันไม่ได้มีเฉพาะเรื่องไอที เรามีหมวดกีฬา ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ดูหนัง ฟังเพลง รองรับความสนใจของผู้ใช้งานกลุ่มต่างๆ แต่เมื่อเปิดฟีเจอร์วิดีโอในอนาคตยูทูบก็อาจกลายเป็นคู่แข่งของเรา ตรงนี้ถือเป็นโมเดลที่เรานำหลายๆ อย่างมาผสมผสานกัน"
แม้จะเพิ่งเปิด ตัวเมื่อ 26 ก.ย.2555 ที่ผ่านมา แต่ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงคนนี้ เปิดเผยว่า ทอฝันมียอดการเข้าชมรวมมากกว่า 250,000 ครั้งแล้ว เฉลี่ยยอดเข้าชมกว่า 10,000 ครั้งต่อวัน และมีสมาชิกมากกว่า 3,000 ราย หลายคนอาจมองว่าเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่มันเป็นก้าวแรกที่ผมพอใจและเชื่อว่าอนาคตอยู่ไม่ไกล กับเป้าหมายสมาชิก 100,000 รายภายใน 6 เดือนหลังจากเปิดตัว และหากครบกำหนดที่ตั้งไว้และยอดสมาชิกยังไปไม่ถึงตามคาด ธุรกิจก็จะยังดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน
"จะ บอกว่าผมเป็นมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สายขาว ก็ได้" ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนนี้ยอมรับในที่สุด เขามองว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ตัวจริงนั้นก็เป็นคนทำธุรกิจสายขาวที่ทำเงินให้บริษัท แต่ผมอาจเป็นธุรกิจสายขาวกว่า! เพราะเราคิดแบ่งเงินให้ผู้ใช้งานของเราด้วย ส่วนจะมองว่าเป็นมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เวอร์ชั่นเมืองไทยหรือไม่นั้น อยากให้คนอื่นตัดสิน แต่ส่วนตัวมองว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จเทียบชั้นเขาได้
เจ้า ของฉายาซัคเคอร์เบิร์กเมืองไทย ยังย้อนถึงอดีตที่มีพ่อเป็นตัวอย่างการดำเนินชีวิตและเป็นแรงผลักที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดของเขาว่า เลือกเรียนคณะวิศวะคอมพิวเตอร์ในระดับมหาวิทยาลัยเพราะอยากเดินตามรอยพ่อผู้ เป็นต้นแบบ และระหว่างเรียนก็ได้ประกวดโครงการแผนการตลาดหลายๆ โครงการ ซึ่งคว้ารางวัลมาได้หลายเวที ล้มก็หลายเวที ส่วนหนึ่งอาจได้ความแกร่งมาตั้งแต่เด็ก ด้วยวัยเด็กที่แปลกไปจากคนอื่น ผมมีความเป็นตัวเองสูง มีจุดยืนแตกต่างจากคนอื่นค่อนข้างชัดเจน หากมั่นใจสิ่งที่ทำเป็นเรื่องถูกต้องก็จะทำต่อไปอย่างไม่ลังเล แต่หลายครั้งที่ถูกมองว่าเป็นเด็กดื้อในสายตาผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีแรงสู้และอดทนมากเป็นพิเศษ อาจมาจากวิธีการเลี้ยงของครอบครัว แม้จะมีฐานะในระดับสุขสบายแต่ผมก็เลือกจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองแม้จะลำบาก ตอนเรียนปริญญาตรีก็ทำงานสอนพิเศษและเรียนไปด้วย
เมื่อชนะโครงการ ประกวดแผนการตลาดเวทีใหญ่ระดับประเทศ ทำให้ มาวิน มีโอกาสเป็นตัวแทนระดับประเทศได้พรีเซนต์แผนงานเว็บไซต์ทอฝันและเข้าหานักลง ทุนต่างชาติ ซึ่งตรงกับใจที่ต้องการร่วมงานกับนักลงทุนต่างชาติซึ่งเป็นพวกกล้าได้กล้า เสีย บอกตามตรงว่าเรื่องนี้เป็นความแตกต่างกับนักลงทุนไทย หลายครั้งที่ได้นำเสนอแผนงานแต่กลับถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ผมได้โอกาสจากนักลงทุนต่างชาติที่มั่นใจในแผนงานของเว็บทอฝันและความ สามารถของผม แต่การนำเสนองานก็ไม่ใช่ว่าจะทำครั้งเดียวแล้วประสบความสำเร็จ ผมนำเสนองานหลายรอบหลายครั้งกับคนหลายกลุ่ม ไม่ต่ำกว่า 15-17 กลุ่ม แต่ละครั้งก็ได้รับคำแนะนำ ข้อดี ข้อเสีย นำมาปรับปรุงผลงานเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็ต้องรักษาการติดต่อกับนักลงทุนเหล่านั้น และนำเสนอความคืบหน้าต่อเนื่อง ซึ่งผมทำสำเร็จในที่สุด
"เพียงเพราะ คิดว่าชีวิตเหมือนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จ ทุกคนต้องเคยเจอความลำบากและก้าวข้ามมันมาทั้งนั้น ผมก็มีท้อบ้าง ความจริงเคยแอบร้องไห้แต่ก็ไม่ให้ใครเห็น เราท้อได้ ซึมได้ แต่ต้องตั้งสติและก้าวต่อไป ผมไม่เชื่อว่าใครจะทำธุรกิจแล้วประสบแต่ความสำเร็จ ถ้าเจอปัญหาก็ต้องแก้ไข เจอปัญหาอีกก็แก้ไขไปเรื่อยๆ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ"
"การ หาทุนสนับสนุนนั้นง่ายกว่าช่วงเริ่มต้นธุรกิจ" มาวิน ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อม เขากล่าวอีกว่า เมื่อเริ่มทำธุรกิจนอกจากปัญหาเรื่องงาน ยังมีปัญหาเรื่องคนและเทคโนโลยีตามมา ยอมรับว่าการเริ่มต้นธุรกิจทันทีหลังเรียนจบก็อาจทำให้เราขาดประสบการณ์ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมพยายามเรียนรู้และปรับปรุงอยู่ตลอด คติของผมคือเราลองผิดได้แต่เมื่อรู้แล้วต้องรู้ตัวให้เร็วและเปลี่ยนวิธีการ นอกจากนี้ อารมณ์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ท้าทาย อาจเพราะด้วยวัยหรือความเครียด ความกดดันต่างๆ ทำให้ผมต้องรับมือด้วยการใช้ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทั้งการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อช่วยให้ใจสงบขึ้น ทำให้ได้เปลี่ยนวิธีการตัดสินใจจากการใช้อารมณ์ซึ่งทำให้เกิดความผิดพลาดไป มากในช่วงแรก เป็นการตัดสินใจด้วยเหตุและผลมากขึ้น
นอกจากนี้ เขายังเล่าแบบไม่ปิดบังว่า เริ่มต้นบริษัทกับทีมงานเพียง 4 คน ก่อนจะขยายเป็น 6 คน ด้วยจุดแข็งของทีมงานทอฝัน คือ ความสามารถและเรียนรู้ได้เร็ว หลักในการเลือกทีมงานของทอฝัน ผมเลือกจาก 1.ทัศนคติ ผมชอบคนสู้งานพร้อมฝ่าฟันความยากลำบากเหมือนผม 2.ความสามารถ ขอให้พร้อมเรียนรู้และเรียนรู้ได้เร็ว ทีมงานของเราเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งหมด ผมยอมรับว่ามันอาจเป็นข้อเสียอีกข้อหนึ่ง เพราะองค์ความรู้และประสบการณ์เราจะใกล้เคียงกัน แต่ทีมของผมทุกคนเราพร้อมจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่ได้เร็ว
แน่นอน ว่าตามสไตล์คนรุ่นใหม่ไฟแรง มาวิน เผยว่าหลังจากนี้หากเว็บทอฝันดำเนินไปได้ด้วยดี เขาเตรียมหมากตัวต่อไปเพื่อขยายวงจากผู้ใช้ชาวไทยสู่ระดับโลกแล้ว "มีการพูดคุยกับนักลงทุนไว้แล้ว หากไปได้ด้วยดีก็จะเปลี่ยนชื่อจาก ทอฝัน เป็น ยู-สตอรี่ (U Story) จะกลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กสายเลือดไทย ที่ทำในประเทศไทยแต่มีการทำตลาดในระดับโลก เพราะเป้าหมายของผมจริงๆ แล้วอยู่ที่ซิลิกอนแวลลีย์ (บริเวณทิศใต้ของเมืองซานฟรานซิสโก รู้จักกันดีว่าเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรม) หรือไม่ก็คงเป็นสิงคโปร์ แม้ซิลิกอนแวลลีย์จะเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างยาก แต่ผมเชื่อว่าความคิดของคนรุ่นใหม่อย่างผมจะเอาชนะได้"
ซัคเคอร์ เบิร์กเมืองไทย ช่วยวิเคราะห์แบบเซียนให้ฟังว่า โซเชียลมีเดียในประเทศไทยจะยังสามารถพีคได้อีกในช่วง 3-4 ปีนี้ แต่ในตลาดโลกน่าจะอยู่ได้อีก 5 ปี หรือจนกว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ โซเชียลเน็ตเวิร์กเติบโตมาได้จากความสามารถในการตอบสนองพฤติกรรมมนุษย์ด้าน ความต้องการแสดงออกได้ตรงจุด เปรียบกับในอดีตอาจต้องทำให้ตัวเองได้ลงหนังสือพิมพ์เพื่อสร้างการยอมรับ แต่ปัจจุบันแค่โพสต์ข้อความให้เด็ดให้โดนก็เป็นที่ยอมรับได้แล้ว
หาก ถามว่าทอฝันเปิดตัวช้าไปหรือไม่ ผมมองว่าเรามาถูกจังหวะ ตอนนี้ทุกคนรู้ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กคืออะไร รู้ว่ามันสร้างรายได้อย่างไร แต่ทุกคนอาจไม่เคยนึกถึงว่าเราจ่ายเงินให้ต่างชาติตลอด ดังนั้นระบบแบ่งรายได้ของทอฝันจึงมาถูกเวลาที่สุดแล้ว หลายคนถามว่าผมลอกโครงสร้างมาจากเฟซบุ๊ก ยูทูบ หรือเปล่า ส่วนตัวผมไม่คิดว่าไปลอกใครมา ถ้าเข้าไปดูทอฝันก็จะรู้ว่าเป็นคนละแบบเพราะผมคิดเองว่าอยากมีตรงไหน อะไรบ้าง เพียงอาจบังเอิญไปตรงกับฟีเจอร์ที่เฟซบุ๊กมี
"ผม ไม่เคยโกรธคนที่หาว่าผมบ้าหรือเพ้อเจ้อ ผมคิดใหญ่ก็เข้าใจว่าหลายคนไม่เข้าใจ สิ่งที่ผมทำได้คือใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ อยากถามว่าความคิดสร้างสรรค์มันเกิดจากการคิดเพ้อเจ้อใช่มั้ย ผมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ผมเชื่อว่าโรคเอดส์และมะเร็งจะเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ในอนาคต ทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผม ส่วนเว็บทอฝัน ใน 6 เดือนนี้ผมมีเป้าหมายให้คนไทยรู้จักในนามโซเชียลเน็ตเวิร์กรูปแบบใหม่ใน ประเทศไทย ที่ผู้ใช้จะภาคภูมิใจว่าคนไทยก็สามารถคิดค้นและพัฒนาได้เอง ไม่ต้องไปแบ่งเงินหรือใช้เว็บจากต่างประเทศ ซึ่งเราก็สามารถสู้ตลาดโลกได้ หรือเป็นโซเชียลมีเดียระดับเอเชียภายใน 5 ปีนับจากนี้อย่างแน่นอน"
ทันที ที่ถามถึงคนไอทีที่เป็นไอดอลในการดำเนินชีวิตหรือทำธุรกิจ มาวิน ตอบแบบไม่ลังเลว่า ชื่นชอบ ไมเคิล เดลล์ ผู้ก่อตั้งคอมพิวเตอร์แบรนด์เดลล์ เนื่องจากมีแนวคิดค่อนข้างแปลก กล้าทดลอง และทำงานหนัก ถือเป็นคนหัวดีที่ซนสุดๆ แตกต่างจากมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่เป็นอัจฉริยะ
ก่อน แยกย้ายกัน ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนเดิมทิ้งท้ายไว้ สำหรับผู้ที่กำลังค้นหาแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน ว่า "เริ่มต้นไม่มีใครเกิดมาเก่ง แต่ประสบการณ์และการทำงานหนักจะช่วยให้เราเก่งขึ้นได้ปัญหา ความท้อแท้ เปรียบเหมือนโจทย์ของความสำเร็จ ถ้าคุณอยากสำเร็จคุณต้องลุกขึ้น มีความเชื่อมั่น อดทน อย่ายอมแพ้"
คุณเห็นด้วยกับเขามั้ย??
ที่มา:http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amuletstory&month=12-12-2012&group=21&gblog=92