แม้จะพ้นยุคเพลงเพื่อชีวิตรุ่งโรจน์ไปนานแล้ว แต่ปีนี้ “น้าแอ๊ด คาราบาว”(ยืนยง โอภากุล) ขยันทำเพลงออกอัลบั้มมาแบบชนิดหัวปี-ท้ายปี โดยหลังจากปล่อยอัลบั้ม “กันชนหมา” ออกมาในช่วงเดือน ก.พ. 55 น้าแอ๊ดก็ได้คลอดอัลบั้มใหม่ “วันวานไม่มีเขาฯ” ในสังกัด Warner Music ออกมาส่งท้ายปลายปี 55
อัลบั้มวันวานไม่มีเขาฯ หน้าปกเป็นรูปควายป่าเขาโง้งตัวพ่วงพี มีทั้งหมด 10 เพลงด้วยกัน โดยน้าแอ๊ดแต่งและเรียบเรียงเองทั้งหมด
วันวานไม่มีเขาฯ เปิดตัวกันด้วย “เจิดจรัสจรัล” เพลงที่แต่งขึ้นเพื่อคารวะแด่ราชาโฟล์คซองคำเมือง จรัล มโนเพ็ชร หัวเพลงขึ้นนำมาด้วยเสียงร้องใสๆของผู้หญิงในท่อนฮุกของเพลงสาวเชียงใหม่ ก่อนส่งเข้าเพลงในอารมณ์ร็อกร้อนแรง สวนทางกับความเป็นโฟล์คซองคำเมืองที่เน้นซุ่มเสียงอะคูสติกเป็นหลัก
เพลงนี้น้าแอ๊ดยังคงเก่งในความเป็นนักเล่าเรื่องผ่านบทเพลง สามารถใช้คำง่ายๆมาผูกเรียงร้อยเป็นเรื่องราวของจรัล ร้องถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะท่อนที่นำชื่อเพลงต่างๆของจรัลมาเรียงร้อยร้องต่อกันในท่วงทำนอง ดนตรีพื้นบ้าน ถือเป็นสูตรเก่งของน้าแอ๊ดที่ช่วยให้เพลงนี้ฟังมีเสน่ห์ขึ้นมามากโข
ขณะที่ท่อนโซโลกีตาร์งานนี้ได้พี่ “โอม-ชาตรี คงสุวรรณ” มาโชว์ลูกนิ้วพลิ้วไหว โซโลดุดันออกไปในทางเมทัลร็อกที่แม้จะขัดกับความเป็นโฟล์คซองแต่ว่าก็มันไป อีกแบบ เพราะฝีมือพี่โอมนั้นหายห่วงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี แค่เพลงแรก เพลงเปิดตัว น้าแอ๊ดก็สร้างความอึดอัดให้เข้าแล้ว เพราะน้าแกเล่นร้องเพลงเสียงหลงๆมาให้ฟังกันตั้งแต่หัววัน โดยเฉพาะในช่วงที่ร้องถึง“อุ๊ยคำ”นั้น ฟังแล้วชัดเจนว่า
อุ๊ย!!! เสียงหลงจริงๆ
แทรคต่อมา “วันวานไม่มีเขา มันนี้ไม่มีเรา” บทเพลงรำลึกถึงพระคุณแม่ เนื้อหาดี ดนตรีเพราะ แต่สำนวนภาษาที่น้าแอ๊ดเรียงร้อยออกมาสู้น้าแอ๊ดเมื่ออดีตในยุคคาราบา วรุ่งโรจน์ไม่ได้ หลายท่อนฟังไม่รื่นหูกับภาษาที่ขาดสัมผัส อ้อ!! เพลงนี้ได้มือกีตาร์ระดับเทพของบ้านเรา คือ พี่ “ป็อบ เดอะซัน”(จักรรินทร์ ดวงมณีรัตนชัย) มาโซโลกีตาร์หวานบาดลึก ทำให้เพลงฟังน่าสนใจขึ้น
“1 = 0” นี่ไม่ใช่การใบ้หวยหรือบทเพลงคณิตศาสตร์ แต่เป็นบทเพลงการเมือง น้าแอ๊ดพูดถึงความปัญหาของคนไทยในยุคนี้ที่เป็นโรคกระหายอำนาจ กระสันอำนาจ แก่งแย่งกันเป็นที่หนึ่ง ซึ่งผมขอแย้งน้าแอ๊ดหน่อยว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคกระหายอำนาจ อยากเป็นใหญ่ อยากเป็นหนึ่ง อย่างที่บทเพลงนำเสนอ แต่ไอ้พวกที่กระหายอำนาจนะ มันพวกนักการเมืองไทยต่างหาก
เพลง 1 = 0 มาในแนวคันทรีโฟล์คเน้นเสียงอะคูสติกใสๆ มีสไลด์กีตาร์รูดสายฟังรื่นหู เปิดพื้นที่ให้น้าแอ๊ดร้องแบบสบายๆ(แต่ก็มีเสียงหลงบ้างตอนขึ้นเสียงสูง)
ต่ออารมณ์โฟล์คสบายๆอีกหนึ่งเพลงด้วย “บ้านไร่สัตหีบ” จากนั้นสลับอารมณ์มาเป็นร็อกและหนีจากชายทะเลขึ้นแอ่วเหนือกับเพลง “ต๊ะ ตอน ยอน” ว่าด้วยความงดงามของภาคเหนือทั้งธรรมชาติ แม่น้ำ ป่าเขา รวมถึงสาวเหนือที่น้าแอ๊ดแกเน้น(ในเพลง)เป็นพิเศษ
|
||
“ถึงเวลา” เพลงช้าๆเพราะๆ มาในแนวอะคูสติกนุ่มๆ เสียงเปียโนกรุ๊งกริ๊งน่าฟัง ถึงเวลาว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่มันถึงเวลาหรือยังที่มนุษย์ต้องหยุดเข่น ฆ่า หยุดโค่นป่า หยุดทำลายธรรมชาติ หยุดทุกอย่างที่ทำให้โลกเปราะบาง แล้วหันมาเยียวยาโลก เพราะมิฉะนั้นโลกเราจะไม่เหลืออะไร ไม่เหลือแม้กระทั่งคนผู้ทำลาย
เพลงนี้นำทำนองมาจากเพลง “Four Strong Winds” ที่ร้องโดย นีล ยัง ทำนอง โดย เอียน ไทสัน ซึ่งงานนี้น้าแอ๊ดได้ให้เครดิตไว้ชัดเจน นับเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการที่น่ายกย่อง เพราะที่ผ่านๆมาน้าแกเอาทำนองเพลงฝรั่งมาใส่เนื้อไทยหลายเพลงด้วยกันแต่ไม่ ได้ให้เครดิตไว้แต่อย่างใด
“ไม่อยากทน” บทเพลงรำพึงรำพันถึงอัตตาตัวตนที่นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง หลักแล้วเป็นเพลงรักแต่หากใครจะมองเป็นเพลงการเมืองที่อิงกับสถานการณ์ ปัจจุบันมันก็เข้ากันได้ดีทีเดียว
กลับมาฟังโฟล์คใสๆสบายๆกันต่อกับ “บ้านสวนเชียงใหม่” ที่เล่าเรื่องราวของตัวเองก่อนจะปิดท้ายกันแบบปรัชญา ซึ่งทำให้เพลงดูมีค่าขึ้นมามากโข
สลับมาฟังร็อกช้าๆกันอีกครั้งกับ “คอนเสิร์ตเลิกไว” แม้ในเพลงท่อนจบจะปิดท้ายว่าถ้าตั้งหน้าทะเลาะกัน คอนเสิร์ตก็เลิกไว แต่ชัดเจนว่านี่เป็นเพลงการเมืองพูดถึงปัญหาที่คนไทยในปัจจุบันที่ทะเลาะกัน อันเนื่องมาจากความคิดที่แตกต่าง
เพลงนี้จัดอยู่ในประเภทบทเพลงโลกสวย เพราะในความเป็นจริงบ้านเรามีคน(เลว)อยู่กลุ่มหนึ่ง เพียงเพราะพวกมันต้องการเป็นใหญ่ ต้องการมีอำนาจ จึงทำได้แม้กระทั่งทำร้ายทำลายประเทศตัวเอง ทำได้แม้กระทั่งเนรคุณคิดคดทรยศต่อแผ่นดินของตัว ทำได้ถึงขนาดกล้าเหิมเกริมบั่นทอนสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทย และก็พวกมันนั่นแหละที่ไม่ยอมรับความคิดต่าง แบ่งเขาแบ่งเรา จะสร้างรัฐใหม่ จัดตั้งเป็นหมู่บ้าน จังหวัดเฉพาะกลุ่มของตัวเอง ซึ่งปัญหาพวกนี้หากยังคงมองแค่เปลือก ไอ้พวกนั้นมันก็ยิ่งได้ใจ ยังคงเดินหน้าสู่เป้าหมายเลวๆของตัวเองต่อไป
มาปิดท้ายกันด้วย “มาเธอมาร้องเพลง” เป็นอีกหนึ่งบทเพลงในอุดมคติที่หากโลกนี้ผู้คนรักกัน หมดสิ้นความเกลียดชัง โลกเราก็จะมีความสุข สันติภาพ หมดซึ่งสงคราม แต่ในความเป็นจริงโลกเราทุกวันนี้ยังคงหมุนไปในทางที่ตรงข้ามกับบทเพลง
เพลงนี้น้าแอ๊ดคิดดี แต่งเพลงดี แต่ที่ฟังแล้วไม่ดีคือเสียงร้องของแก โดยเฉพาะในท่อนร้องเสียงสูง ล้า ลา ลา นั้น น้าแอ๊ดเสียงหลงหลุด ฟังแล้วหมดสภาพจริงๆ
และนี่ก็คือ 10 บทเพลงจากอัลบั้มใหม่ของน้าแอ๊ดที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวที่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งการเมือง ความรัก ธรรมชาติ สันติภาพ ชีวิตส่วนตัว บทเพลงคารวะบุคคล หรือแม้แต่บทเพลงแอบแฝงปรัชญา
แต่ว่าผลงานเพลงของน้าแอ๊ดในวันวานนั้นไม่เหมือนกับในวันนี้ โดยเฉพาะการเขียนเพลงที่เป็นสไตล์เก่งกับการใช้ภาษาอันสละสลวย การใช้สัมผัสที่สวยงาม และการใช้คำที่เรียบง่ายแต่ดึงดูดและโดน ในอัลบั้มชุดนี้น้าแอ๊ดทำออกมาฟังด้อยไปถนัดหู ขณะที่มุมมอง แง่คิด และการเล่าเรื่อง เล่าสถานการณ์ที่เป็นสไตล์เก่งของน้าแอ๊ดก็ทำได้ห่างไกลกับสิ่งที่น้าแอ๊ด เคยทำไว้ในสมัยรุ่งโรจน์
ปกหน้า
ด้านท่วงทำนองเพลง นี่เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่น้าแอ๊ดติดกับดักเมโลดี้เก่าๆของตัวเอง ส่วนในส่วนของทางดนตรี อัลบั้มชุดนี้เป็นการนำเสนอสลับกันไประหว่างความเป็นร็อกและโฟล์ค โดยหลังๆมาน้าแอ๊ดได้พยายามปรับแนวมาร้องเล่นในสไตล์โฟล์คฟังสบายๆมากขึ้น ซึ่งฟังแล้วผมว่าเหมาะกับทางของน้าแอ๊ดในวันนี้ เพราะเสียงของน้าแกมันไม่ทรงพลัง ไม่สามารถแหกปากตะโกน ร้องเสียงสูงๆเหมือนในอดีตได้อีกแล้ว
นั่นจึงทำให้ในอัลบั้มนี้น้าแอ๊ดแกร้องเพลงเสียงหลงอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะท่อนเสียงโหนสูงในหลายๆเพลง น้าแกร้องเสียงหลงแบบฟังแล้วอึดอัดหู เพลียในอารมณ์น่าดู
สำหรับอัลบั้มนี้ในฐานะคนที่เคยเป็นแฟนตัวยงของคาราบาวใน รุ่งโรจน์ ถ้าจะให้สรุปกันแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ มันคือผลงานเพลงที่ต่ำกว่ามาตรฐานกับฐานะบิ๊กเนมของ “แอ๊ด คาราบาว” อยู่มากพอตัว
ที่มา:http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000150529