แพทย์แผนไทย โคราช รักษาโรค SLE ไขความลับวิธีรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ( SLE)
รถตู้ให้เช่า ร้อยเอ็ด
หมอเอ ณัฐปราชญ์ คลินิก

korat_history  “---คนนับถือกรมหลวงชุมพรฯ เยอะ แต่คนไม่สนใจท่านในฐานะปุถุชน คนไม่สนใจว่าท่านเคยทำอะไรมา หรือทรงมีพระปรีชาอย่างไร คนสนใจท่านแต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์---”

 เป็นข้อความตอนหนึ่งในคำบอกเล่าของ ม.ร.ว. อภิเดช อาภากร ซึ่งมีศักดิ์เป็น “หลานปู่” ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กล่าวถึงเสด็จปู่ เมื่อครั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพรฯ เพื่อเขียนหนังสือเรื่อง “หลวงปู่ศุขกับกรมหลวงชุมพรฯ” ครั้งนั้นพบว่าหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่นั้นล้วนจดจำและมักจะเล่าถึงแต่เรื่อง อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระองค์มากกว่าที่จะเล่าเกี่ยวกับพระประวัติความ เป็นมา พระปรีชาสามารถ ตลอดจนผลงานการทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ แต่เมื่อได้ศึกษาพระประวัติของพระองค์ก็อาจคาดเดาถึงสาเหตุดังกล่าวได้โดย ไม่ยากนัก

 

 

 korat_history

พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาโหมด สายสกุลบุนนาค เป็นพระราชโอรสรุ่นแรกที่เสด็จไปทรงศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ในทวีปยุโรป ทรงเลือกศึกษาวิชาการทหารเรือที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีกองทัพเรือที่เก่งกาจเกรียงไกรที่สุดในสมัย นั้น

 

ทั้งนี้น่าจะสืบเนื่องมาจากการที่ไทยเคยถูกกองทัพเรือฝรั่งเศสคุกคามใน วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ทำให้ไทยต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส นำความเจ็บช้ำพระทัยมาสู่องค์พระประมุขซึ่งไม่มีหนทางหลีกเลี่ยงเพราะเป็น ประเทศเล็ก ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้ ไม่มีอำนาจที่จะต่อรองกับมหาอำนาจที่ไม่รู้ถูกรู้ผิด ความวิปโยคโศกเศร้าของพระบรมราชชนกชนนีและประชาชนชาวสยามในเหตุการณ์ครั้ง นั้น ฝังอยู่ในพระทัยของเจ้าชายเล็กๆ ซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๑๓ พรรษา แต่น้ำพระทัยแข็งแกร่ง ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่และมั่นคงในการที่จะนำความรู้ด้านการทหารเรือสมัยใหม่ มาพัฒนากองทัพเรือของไทยให้เกรียงไกรสามารถต่อสู้ป้องกันตนเองให้พ้นจากภัย คุกคามจากประเทศมหาอำนาจที่มักรุกล้ำอธิปไตยของสยามเนืองๆ

 

การเข้าศึกษาวิชาการทหารเรือของเจ้าชายไทยในประเทศอังกฤษต้องเผชิญกับ อุปสรรคนานาประการ นับแต่ข้อกำหนดซึ่งห้ามนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรือของ ราชนาวีอังกฤษด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แต่ก็มิได้ทำให้พระองค์ทรงย่อท้อ ทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารเรือในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการทหาร เรือที่แข็งแกร่ง เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้เข้ารับการฝึกเป็นนักเรียนทำการนายเรือ (Midshipman) ในเรือรบอังกฤษ

 

เสด็จกลับประเทศไทยมีพระชนมายุเพียง ๒๐ พรรษา ทรงมีทั้งกำลังพระทัย กำลังพระวรกาย และประการสำคัญทรงมีความตั้งพระทัยแน่วแน่มั่นคงในอันที่จะพัฒนากองทัพเรือ ไทยให้สามารถเกรียงไกรเทียบเท่าอารยประเทศ เพราะขณะนั้นกิจการทหารเรือไทยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝรั่งต่างชาติ ซึ่งโปรดว่าจ้างให้มาเป็นผู้วางรากฐานกิจการทหารเรือสมัยใหม่ แต่ทรงพบว่าฝรั่งผู้ปฏิบัติงานขาดความตั้งใจจริงในการพัฒนากองทัพเรือให้ เป็นไปตามพระราชประสงค์ กองทัพเรือจึงยังมิได้รับการวางรากฐานอย่างมั่นคง หลักสูตรการสอนนักเรียนนายเรือต่ำ เมื่อเรียนจบหลักสูตรก็ยังไม่สามารถที่จะนำเรือออกสู่ทะเลลึกโดยลำพังตนเอง ได้ ไม่สามารถใช้อาวุธสมัยใหม่ได้ โดยเฉพาะทหารเรือในขณะนั้นเป็นหน่วยทหารที่มีศักดิ์ศรีต่ำกว่าทหารหน่วยอื่น จึงมักถูกนำไปใช้ในงานโยธา ไม่ใคร่มีโอกาสที่จะเรียนรู้วิชาการ

 

 korat_history

เมื่อทรงมีโอกาสได้เข้าบริหารงาน จึงโปรดปรับปรุงกองทัพเรือใหม่ในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่การวางหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ โดยเพิ่มวิชาที่จำเป็นสำหรับทหารเรือที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้อย่างเข้มข้น ยกระดับทหารเรือให้สูงขึ้นโดยเน้นหนักด้านวิทยาการสมัยใหม่ และการฝึกเพื่อการเป็นนายทหารเรือที่เก่งกาจเกรียงไกร

 

 

แต่ถึงกระนั้นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทรงพบคือการที่ไม่มีผู้นิยม สมัครเข้าเป็นทหารเรือ อันเป็นธรรมชาติของผู้ที่มิได้อยู่ใกล้ทะเล โปรดแก้ปัญหาด้วยการให้เงินเดือนนักเรียนที่สมัครเข้าเรียนและเพิ่มเงินให้ ตามชั้นที่สูงขึ้น ทำให้เริ่มมีผู้สมัครเรียนเพิ่มขึ้น แต่นักเรียนส่วนใหญ่มักเป็นคนยากจนและนักเลงที่หวังเงินเดือน แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้วทรงมีวิธีการผูกใจนักเรียนให้ตั้งใจเรียน รักและภาคภูมิใจในสถาบันที่เรียน โดยใช้ความจริงพระทัยจริงจังในการถ่ายทอดวิชาความรู้ ปลูกฝังความรู้สึกรักและภาคภูมิใจในกองทัพเรือ

 

ประการสำคัญคือ พระอุปนิสัยซึ่งมีพระเมตตาต่อผู้คนทั่วไปโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ทรงสามารถผูกใจนักเรียนที่มีนิสัยนักเลงได้ด้วยความเป็นนักเลงที่เหนือกว่า กล่าวคือ กรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีฐานันดรศักดิ์และความรู้ที่สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อประกอบเข้ากับการดำเนินพระจริยวัตรในทางที่นักเลงสมัยนั้นนิยมกัน เช่น เก่งฉกาจในวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวทุกรูปแบบ มีคาถาวิทยาคมเพราะทรงมอบพระองค์เป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ที่ผู้คนสมัยนั้นเชื่อและนับถือว่าเป็นพระอาจารย์ด้านเวทมนตร์คาถา จนเป็นที่ร่ำลือว่า ทรงอยู่ยงคงกระพัน สามารถหายตัวได้ จนทรงสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เหล่าลูกศิษย์รู้สึกว่าพระองค์ทรงสามารถ เป็นที่พึ่งได้ คือทรงมีทั้งพระบารมี มีทั้งความเป็นนักสู้และนักเลงที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

 

พระจริยวัตรสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความไม่ถือพระองค์ ทรงแสดงให้ทุกคนประจักษ์และซาบซึ้งในพระคุณสมบัติส่วนนี้ตลอดพระชนมชีพ ดังที่มีเรื่องเล่าลือสืบมาว่า ทรงรักและเอาพระทัยใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งในเวลาและนอกเวลางาน เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเวลาค่ำขณะประทับพักผ่อนที่วังนางเลิ้ง มีผู้วิ่งมาทูลว่า ทหารเรือชั้นผู้น้อยคนหนึ่งถูกรุมต่อยตีจากคู่ต่อสู้ที่ตลาดนางเลิ้ง เมื่อทรงรู้ข่าวก็เร่งเสด็จไปสถานที่เกิดเหตุทันที ทรงช่วยทหารเรือผู้นั้นให้รอดจากการถูกคู่วิวาทฟันด้วยการเอาพระองค์เข้ารับ คมดาบโดยไม่เป็นอันตราย หรือโปรดเสด็จไปสู่ขอผู้หญิงให้ลูกศิษย์ด้วยพระองค์เองในฐานะพระอาจารย์ มิใช่ในฐานะเจ้า หรือโปรดให้ตั้งฌาปนกิจสถานสำหรับทหารเรือขึ้นเพื่อช่วยในการฌาปนกิจศพทหาร เรือทุกระดับชั้นอย่างสมเกียรติยศ เป็นต้น

 

พระจริยวัตรดังที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องน้อมนำจิตใจของผู้ใกล้ ชิดให้ถวายความจงรักภักดีด้วยชีวิต ยิ่งเมื่อประทานความเป็นกันเองโดยทรงเรียกขานพระองค์เองว่า “พ่อ” หรือ “เตี่ย” ก็ยิ่งทำให้สามัญชนทั่วไปรู้สึกว่าสามารถปวารณาตนเป็นลูกของพระองค์ได้อย่าง เท่าเทียมกัน ความนิยมนับถือและบูชาในพระองค์ยิ่งกว้างขวางและยิ่งใหญ่ทวีคูณขึ้นอีกเมื่อ ครั้งโชคชาตาฟ้าลิขิตให้ต้องทรงรับบทบาท “หมอพร” ครั้งนั้นก็ทรงจริงจังกับการเป็นหมอพร ด้วยการทรงศึกษาวิชาแพทย์ทั้งของไทยและฝรั่ง ทรงนำความรู้ทั้ง ๒ แบบมาผสมผสานและทดลองจนทรงมั่นพระทัยในความเป็นหมอพร จึงทรงรับรักษาผู้เจ็บป่วยทั่วไปโดยไม่คิดเงิน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ด้วยพระเมตตาอันเป็นพื้นพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ ทั้งความรู้พระปรีชาสามารถและน้ำพระทัย ทำให้ผู้คนที่มีโอกาสได้สัมผัสพระองค์ นึกไปถึงเทพเจ้าที่ทรงลงมาโปรดมนุษย์ในโลกมากกว่าจะเป็นเจ้านาย จึงพร้อมใจขานนามพระองค์ว่า “หมอพรเทวดา”

 

เมื่อกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ ความรักอาลัยของผู้ที่รักใคร่เทิดทูนบูชาพระองค์ยังคงตราตรึงอยู่อย่างมิอาจ ลืมเลือน ความดีงามเก่งฉกาจในทุกๆ ด้านของพระองค์ได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันปากต่อปาก มีการต่อเติมเสริมแต่งให้ทรงเป็นเสมือนผู้วิเศษ จนพัฒนาเป็นความเชื่อว่าพระวิญญาณของพระองค์ยังคงอยู่คอยให้ความคุ้มครอง ภยันตราย สดับตรับฟังทุกข์ร้อนของบรรดาลูกๆ หรือช่วยเหลืออำนวยให้ได้รับผลสำเร็จในสิ่งปรารถนาเหมือนเมื่อครั้งยังทรง ดำรงพระชนมชีพ จึงเกิดการบนบานขอให้ทรงช่วย เมื่อได้รับผลตามต้องการก็ยิ่งทวีคูณความเชื่อในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์สิ่ง ต่างๆ ที่เนื่องในพระองค์ไม่ว่าจะเป็นพระรูปเหรียญ ล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนตั้งไว้บนที่สูงเพื่อเคารพบูชา

 

จึงไม่น่าแปลกที่ ม.ร.ว. อภิเดชจะบอกเล่าถึงเสด็จปู่ของท่านว่า “---คนนับถือกรมหลวงชุมพรฯ เยอะ---แต่---คนสนใจท่านแต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์---”

พระอุปนิสัยและพระจริยวัตรในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย  ศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม ๒๕๕๕

ที่มา:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1355477538&grpid=01&catid=&subcatid=

 

Go to top