โดย วรรณโชค ไชยสะอาด
ยาเสพติด ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของประเทศ ไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาระดับโลกที่สร้างความเสียหายต่อสังคมมหาศาลทั้งเรื่องของ อาชญากรรม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งมอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน ยาเสพติดชื่อกระฉ่อน ล้วนมีสารตั้งต้นเป็นพืชที่มีดอกสวยงามอย่าง "ฝิ่น" นั่นเอง
หาก ไม่รู้ว่าคือต้นฝิ่น ก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าพืชล้มลุกที่ชอบขึ้นในที่อากาศเย็น ออกดอกสีชมพูสวยงามจะแฝงไปด้วยความชั่วร้าย คงเหมือนกับหญิงสาวหน้าตาดีที่มองแล้วน่าหลงใหล หากแต่ภายในช่างร้ายกาจนัก
ตัว การสำคัญที่ทำให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติด คือสารเคมีที่อยู่ในยางของเนื้อฝิ่น อันประกอบด้วย โปรตีน เกลือแร่ ยางและแอลคะลอยด์ (Alkaloid)
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ทหารยังคงมุ่งมั่นทำลายฝิ่นให้หมดไปจากประเทศไทยให้ได้มากที่สุด
พ.ท.สุนทร แหลมหลวง ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายแผน กองข่าว กองทัพน้อยที่ 3 และหัวหน้าส่วนปฏิบัติการ หน่วยเฉพาะกิจ ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 เล่าว่า ฝิ่นเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น มีความชื้น มีแสงแดดส่องถึง และมีน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ ฝิ่นจึงเจริญเติบโตได้ดีในภาคเหนือตอนบน เพราะส่วนใหญ่มีลักษณะพื้นที่เป็นเทือกเขาสูง บวกกับยากแก่การค้นหาและทำลาย จึงมีการลักลอบปลูกอยู่
พื้นที่ที่มีการลักลอบปลูกส่วนใหญ่เป็น บริเวณแนวชายแดน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา ลำปาง และน่าน ซึ่งจังหวัดที่มีปริมาณการปลูกสูงคือ เชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน
พื้นที่ที่ครองแชมป์ คือ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
![]() (ซ้าย) พ.อ.จรินทร์รัตน์ นาคสนิท (บน) ฝิ่นพร้อมกรีดยาง (ล่าง) ไร่ฝิ่นจากมุมสูง |
เป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว ที่เจ้าหน้าที่ต้องจัดการกับปัญหาลักลอบปลูกฝิ่น
"เมื่อ ปี 2527 มีการลักลอบปลูกฝิ่นมากกว่า 54,000 ไร่ ซึ่งปี 2555 เหลือแค่ 1,257 ไร่ และลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 30 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ความเข้มงวดและจริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการทำลายและเรื่องบทลงโทษทางกฎหมาย" พ.ท.สุนทรเล่า
และบอกว่า สาเหตุที่ชาวบ้านยังคงลักลอบปลูกฝิ่นกันอยู่ เป็นเพราะ
1)สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
2)สภาพอากาศและภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต
3)ชาวเขาบางคนยังขาดการศึกษา และหลายคนยังเสพฝิ่นอยู่
4)มีนายทุนชักจูง ให้ทุนในการปลูกและรับซื้อในราคาสูง
5)ชาวบ้านในปัจจุบันต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตมากขึ้น จึงปลูกฝิ่นเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ในพื้นที่ดอยหลวง ดอยนางเชียงดาว
มี ประชากรรวมประมาณ 377 คน ชาวบ้านในพื้นที่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าลีซอและมูเซอมีรายได้เพียง 15,000 บาทต่อปี จากการประกอบอาชีพปลูกผักและทำไร่ข้าวโพด จากรายได้ที่ต่ำนี่เอง จึงเกิดการลักลอบปลูกฝิ่นตามคำเชื้อเชิญของบรรดานายทุนที่ต้องการหากินอย่าง ผิดกฎหมาย โดยรับซื้อในราคาสูง นายทุนบางคนอาจมีสิ่งของอย่างมอเตอร์ไซค์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นของล่อใจ ด้วย
สำหรับการปลูกนั้น ชาวบ้านจะเลือกพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร ย้ายเข้าไปในป่าลึก ห่างไกลจากบ้านมากยิ่งขึ้น ในพื้นที่ภูเขาสูง ทั้งนี้
มี การพัฒนาที่ดินโดยจะปลูกปะปนกับพืชชนิดอื่น เช่น ผักกาด ข้าวโพด ลงในพื้นที่ขนาดไม่ถึงไร่ แต่จะกระจายไปในบริเวณใกล้กันจนทั่ว เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่จากการตรวจสอบ
![]() ทหารทำลายฝิ่น |
ความ ตื่นเต้นเกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารนำคณะสื่อมวลชนขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพื่อสำรวจพื้นที่และลงพื้นที่ร่วมกันเพื่อทำลายไร่ฝิ่นในพื้นที่บ้านลีซอ หนองกระแตะ หมู่ 6 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการทำลายไร่ฝิ่น 2 จุด คือจุดที่มีอายุ 2 สัปดาห์ และ 3 สัปดาห์
หลัง ลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว พ.อ.รินทร์รัตน์ นาคสนิท หัวหน้าส่วนบริการ/สนับสนุน หน่วยเฉพาะกิจ ศูนย์ปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด กองทัพภาคที่ 3 ก็บรรยายว่าจุดแรกที่พบนั้นเป็นฝิ่นอายุเพียง 2 สัปดาห์ ต้นอ่อนฝิ่นมีสีเขียวอ่อน บนเนื้อที่ขนาด 2 งาน รอบบริเวณมีการปลูกผักกาดและข้าวโพดติดต่อกัน เพื่ออำพรางสายตาเจ้าหน้าที่
เพียง ครู่เดียว ฝิ่นต้นอ่อนก็ราบลงจากการทำลายของเจ้าหน้าที่ทหาร ด้วยการถอนรากถอนโคนต้นอ่อนเหล่านั้น เมื่อเดินผ่านเข้าป่าไปอีกหน่อย ก็พบฝิ่นแปลงที่ 2 ที่มีอายุ 3 เดือน ถือว่าพร้อมต่อการเก็บเกี่ยวดอกผลแล้ว ดูได้จากแต่ละต้นที่ออกดอกสวยงาม ทั้งสีม่วง สีแดง และสีขาว ชื่นชมความงามไม่ทันไร เจ้าหน้าที่ทหารก็ส่งแท่งเหล็กยาวประมาณ 1 เมตรมาให้ พร้อมบอกว่า "จัดการทำลาย
ได้เลย" โดยการนำแท่งเหล็กฟาดฟันต้นฝิ่นให้ล้มลง ไม่นานทุกอย่างก็ราบเป็นหน้ากลองจากการหวดแท่งเหล็กไปบนพืชเสพติดเหล่านั้น
"การจับ ตัวผู้ร้ายนั้นยากถ้าไม่เห็นคาหนังคาเขา เพราะถามใครก็บอกไม่รู้ บอกว่าไม่ได้ปลูก หลายครั้งที่เราเข้ามาทำลายฝิ่นเราจะขอแรงจากชาวบ้านให้มาช่วย โดยนำของมาแจกจ่ายเป็นค่าตอบแทน ซึ่งชาวบ้านบางคนที่มาช่วยนั้นแหละ คือผู้ลักลอบปลูกฝิ่นเสียเอง
"ในฤดูหนาวใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ดอกสีม่วงมีราคาสูงสุดเพราะมีสารแอลคะลอยด์สูง โดยดอกฝิ่น 1 ดอก สามารถกรีดน้ำยางได้ 6 ครั้ง ตอนเช้าจะกรีดทางทิศตะวันออก เมื่อกรีดแล้วจะปล่อยแผลไว้ให้แดดเผาที่แผลจนยางไหลออกมา พอตอนเที่ยงก็จะมาเก็บยางในรอบแรก และกรีดอีกครั้งทางทิศตะวันตก เพราะแดดจะเผาฝั่งนั้น แล้วค่อยมาเก็บยางอีกรอบตอนเย็น วันหนึ่งสามารถกรีดได้ 2 ครั้ง เท่ากับว่า 1 ดอกกรีดได้ 3 วัน" พ.อ.จรินทร์รัตน์เล่าถึงวิธีการกรีดยางของชาวเขา
ส่วนเรื่องราคา ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจให้ชาวบ้านหันมาลักลอบปลูกฝิ่นนั้น ร.อ.พงษ์พันธ์ โสมขันเงิน หัวหน้าชุดตัดทำลายพืชเสพติด กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 อธิบายให้เห็นภาพคร่าวๆ ว่า ฝิ่นจำนวน 2 งานที่เพิ่งทำลายไปนั้น จะให้น้ำยางประมาณ 2 จ๊อย ซึ่ง 1 จ๊อยเท่ากับ 1.6 กิโลกรัม ราคาของน้ำยางจากดอกฝิ่นจะอยู่ที่จ๊อยละ 1.5 แสนบาท เท่ากับว่าได้ทำลายฝิ่นมูลค่า 3 แสนบาทไปนั่นเอง
ปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐพยายามส่งเสริมอาชีพชาวบ้าน ให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและได้เงินมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีโครงการหลวงเข้ามาเพื่อให้ชาวบ้านหันมาปลูกข้าวโพด
คงต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายฝ่าย ช่วยให้ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้นมีรายได้เพียงพอกับความต้องการ ฝิ่นจึงจะหมดไป
หวังว่า "ยัยตัวร้ายหน้าสวย" จะจากไปพร้อมการกลับมาของคุณภาพชีวิตคนไทยที่ดีขึ้น
หน้า 20 มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2556