“ความรู้จริงคือ พื้นฐานของการบริหาร และความคิดสร้างสรรค์”
“ฟาร์มโชคชัยเริ่มต้นจากการเป็นเกษตรกร เรายกระดับและพยายามจะแปรตัวเองไปเป็นองค์กรจากดินสู่ภูมิปัญญา มันไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องใหญ่ แต่ต้องใช้ความคิด ความรู้ และปัญญา” วาทกรรมของโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย สะท้อนถึงจุดยืนของฟาร์มโชคชัยในปัจจุบัน
ทว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน วาทกรรมเดียวกันนี้ ถูกเรียกว่า “วิสัยทัศน์” ขณะที่คนบางกลุ่มกลับมองว่า เป็นแค่เพียงจินตนาการหรือความฝันเฟื่องตามประสาคนหนุ่มไฟแรง เพราะขณะที่โชคขึ้นมากุมบังเหียนฟาร์มโชคชัย พร้อมกับภาระหนี้สินกว่า 400 ล้านบาทที่รอให้สะสาง ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 25 ปี
ในปี 2535 ที่โชคเข้ามาบริหารงานในฟาร์มโชคชัย เป็นช่วงที่ธุรกิจประสบกับวิกฤตอย่างหนัก จนเขาต้องตัดใจขายธุรกิจที่มีมูลค่าออกไปเพื่อนำเงินกลับมาฟื้นฟู ธุรกิจหลักคือ ฟาร์มโคนม
โชคใช้เวลาในการพลิกฟื้นธุรกิจอยู่นาน จนทุกวันนี้ ฟาร์มโชคชัยกลายมาเป็นฟาร์มโคนมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีรายได้กว่า 2 พันล้านบาท จาก 7 ธุรกิจ โดยนอกจากธุรกิจฟาร์มโคนม ยังมีอีกธุรกิจที่ล้วนต่อยอดออกมาจากธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจผลิตภัณฑ์แปรรูปนมและไอศกรีม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจที่พัก ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
“รู้จริง คือหัวใจของการบริหารงาน และเป็นพื้นฐานสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดสร้างสรรค์” ที่ใช้ต่อยอดธุรกิจ จะเห็นว่าธุรกิจฟาร์มโชคชัยในปัจจุบันมีความหลากหลายก็จริง แต่มันเติบโตมาจากการที่เราทำธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ และต่อยอดมาจากความรู้จริงเชิงเกษตร ซึ่งเป็นการพัฒนาบนความได้เปรียบของเรา ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้”
โชคอธิบายถึง ความได้เปรียบทางธุรกิจของฟาร์มโชคชัย ซึ่งแตกต่างจากหลากหลายธุรกิจที่มักใช้กลยุทธการขยายธุรกิจให้ใหญ่โตเพื่อ ให้คนอื่นไม่อาจแข่งได้ นั่นคือ ฟาร์มโชคชัยยึด “จุดแข็ง” คือ “ความรู้จริง” มาใช้สร้างสินค้าที่มีความพิเศษ (Exclusivity) และมีความครีเอทีฟ (Creativity) ซึ่งเกิดจากนำความเอาใจใส่ในธุรกิจมาสร้างความงอกเงยและมูลค่าเพิ่ม สำหรับตลาดกลุ่มเฉพาะที่มีความพิเศษ (Niche)
“หลักการคือ เรา integrate ธุรกิจไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก principle ของเรา คือธุรกิจฟาร์มโคนม ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเรา ตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ผมมีความเชื่อว่า เราทำธุรกิจการเกษตรที่มี “จุดแข็ง” ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ฉะนั้น ทุกความครีเอทีฟที่ผมต่อยอดธุรกิจเดิมของผม มันก็ยิ่งทำให้เราถีบตัวห่างจากคู่แข่งไปเรื่อยๆ”
สิ่งที่ผู้บริหารหนุ่มกล่าวสามารถสรุปด้วยปรัชญาสั้นๆ ที่เขายึดเป็นหลักปฏิบัติมาตลอดเกือบ 20 ปี ที่ว่า “คิดแบบเด็ก ทำแบบผู้ใหญ่”
โชคอธิบายเพิ่มว่า การคิดแบบเด็กคือ ความคิดริเริ่มที่ไม่มาจากประสบการณ์หรือเหตุผลเสมอไป หากแต่เป็นการคิดจากจินตนาการและมโนภาพอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่การทำแบบผู้ใหญ่คือ การลงมือทำอย่างมีหลักการ มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีความรับผิดชอบ และที่สำคัญคือมีอุดมการณ์
ด้วยวิธีคิดดังกล่าวของโชค จึงนำมาซึ่งความสำเร็จในธุรกิจท่องเที่ยวแบบ Agro Tour และธุรกิจที่พักแบบบูติกแคมป์ของฟาร์มโชคชัย หรือแม้กระทั่งฝันที่เป็นจริงในการส่งออกโคนมแข่งกับประเทศที่มีโนว์-ฮาวมา นานนับร้อยปี อย่างออสเตรเลีย เป็นต้น
โคบาลหนุ่ม เชื่อว่า โลกธุรกิจในยุคนี้ ธุรกิจที่อาจหาญจะสู้กับธุรกิจขนาดใหญ่ได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการรู้จัก “ตัวเอง” จากนั้นก็ต้องมีต้นทุนในเรื่องของปัญญา บวกกับความคิดสร้างสรรค์ อันจะเป็นแต้มต่อสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถพัฒนาไปถึงจุดที่คู่แข่งอาจจะ ทำตามอย่างไม่ได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ฟาร์มโชคชัยดำเนินมาตลอด จนนำไปสู่รูปแบบการขยายธุรกิจที่แตกต่างจนหลายคนคาดไม่ถึง
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานานบวกกับงานวิจัย บ่มเพาะจนเป็นองค์ความรู้ในเรื่องการเกษตรและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในปีหน้า ฟาร์มโชคชัยจึงเตรียมเปิดโปรแกรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ซึ่งโชคเรียกคร่าวๆ ว่า “Knowledge and CSR Tour” จับกลุ่มบริษัทหรือราชการที่ต้องการเรียนรู้ขบวนการจัดการว่าด้วยเรื่องของ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมและครบวงจร
ขณะที่ธุรกิจที่พัก จากที่เคยผูกติดกับการท่องเที่ยวและลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว นับตั้งแต่ปีหน้า จะมีการปรับกลยุทธ์มาสู่การรองรับงานคอนเสิร์ตและอีเวนต์ทางการตลาดของ บริษัทห้างร้านให้มากขึ้น โดยมีบริษัทออร์แกไนเซอร์ (Event Organizer) ของฟาร์มโชคชัย เป็นหน่วยงานที่จะดึงลูกค้าและรายได้เข้ามากระจายยังหน่วยธุรกิจต่างๆ ของฟาร์ม
และใน 1-2 ปีข้างหน้า ฟาร์มโชคชัยจะมีความเคลื่อนไหวในเรื่องของการเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่ การเตรียมบุกตลาดต่างประเทศของ “อืม!..มิลค์” และการเปิดตัวใหญ่ๆ อีกหลายโครงการ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของฟาร์มโชคชัยจึงค่อนข้างเงียบ กระทั่งมีข่าวเปิดตัวหนังสือ ''ปฏิมากรรมแห่งโชค เล่มแรก'' เมื่อไม่นานมานี้
“2 ปีที่ผ่านมานี้ เราเน้นเรื่องของการวางโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจมากกว่า เพราะจริงๆ แล้วการก่อสร้างอะไรก็ตามไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะทำให้ระบบมันทำงานได้อย่างราบรื่น ในเชิง Integrate หรือเชิงการต่อยอดจากธุรกิจเดิม อันนี้คือสิ่งที่ยากและน้อยธุรกิจที่จะทำได้ เพราะมันต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความเอาใจใส่ ความละเอียด และที่สำคัญคือการเข้าใจโจทย์ในการปะติดปะต่อเรื่องในอนาคต แต่เมื่อไรที่คุณมีพื้นฐานธุรกิจที่ดีแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร เพราะมันแทบจะไม่มีคู่แข่งทางตรง”
ดูเหมือน คำกล่าวของโชคจะไม่ใช่การอธิบายถึงความเงียบของธุรกิจใน 2 ปีที่ผ่านมา แต่กลับเป็นการโหมโรงให้ผู้อ่านต้องคอยจับตาความเคลื่อนไหวของฟาร์มโชคชัยในปีหน้า มากกว่า
ที่มา:http://www.gotomanager.com/content/%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84-%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5-%E2%80%9C%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E2%80%9D