ที่มาของระบำสวมหน้ากากมีต้นกำเนิดจากประเทศพม่า
ที่หลานสาวของเพื่อนไปรำ ฉลองผ้าป่า สวยงามอ่อนช้อย น่ารัก
รวมกับประวัติที่มาของระบำเกี่ยวกับมเหสี และกษัตริย์องสุดท้ายก่อนเสียเมืองของพม่า
ทำให้เราอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาระบำหน้ากากมากขึ้น
เราได้ไปค้นหาประวัติ ยิ่งรู้ก็ยิ่งอยากรู้ให้มากขึ้นไปอีกจึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าจากภาพระบำสวมหน้ากาก
{youtube}klrzNtdBXE4{/youtube}
สมัยพระเจ้าธีบอ (Thibow, ครองราชย์ พ.ศ. 2421–2428) พระโอรสของพระเจ้ามินดง ไม่สามารถที่จะรักษาพระราชอาณาจักรไว้ได้ จึงเกิดควาวุ่นวายไปทั่วบริเวณชายแดน และพระองค์จึงตัดสินพระทัยยกเลิกสนธิสัญญากับอังกฤษที่พระเจ้ามินดงได้ทรง กระทำไว้ และได้ประกาศสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สามในปีพุทธศักราช 2428
ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถเข้าครอบครองดินแดนประเทศพม่าส่วนที่เหลือเอาไว้ได้
พระประวัติพระนางศุภยลัต เป็นราชบุตรีของพระเจ้ามินดง กับมเหสีรองคือพระนางอเลนันดอ พระองค์มีพระนามจริงว่า ศรีสุริยประภารัตนเทวี (Sri Suriya Prabha Ratna Devi) พระนางศุภยาลัตมีพระเชษฐภคินีคือ พระนางศุภยาคยี และมีพระขนิษฐาคือเจ้าหญิงศุภยากเล อุปนิสัยของพระนางศุภยลัตมีลักษณะเหมือนพระราชมารดา คือ มีความทะเยอทะยาน เจ้ากลอุบาย ใจร้าย ขี้หึง เชื้อสายดั้งเดิมเป็นสามัญชน เนื่องจากยายของพระนางเป็นแม่ค้าขายของในตลาดมาก่อน โดยพระเจ้าบาจีดอ (พระเจ้าจักกายแมง) รับเอามาเป็นนางสนมตั้งแต่ครั้งพระเจ้าบาจีดอยังดำรงพระยศเป็นเจ้าชาย
พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติทั้งที่เป็นเจ้าฟ้าลำดับสิบกว่าๆ ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะเป็นรัชทายาทและถูกขอร้องแกมบังคับให้บวช
เจ้าจอมมารดาซึ่งเป็นธิดาเมืองไทยใหญ่ (เมืองสีป่อตามพระนาม) ก็ต้องโทษอยู่
แต่ ก็ขึ้นครองราชย์ได้เพราะ พระเจ้ามินดง กษัตริย์พระองค์ก่อนมีพระนางอเลนันดอเป็นพระมเหสีองค์ที่โปรดปรานมีอำนาจมาก แต่ไม่มีพระราชบุตร คงมีแต่พระนางศุภยาลัตพระราชธิดาที่ทะเยอทะยานพอๆกัน
ด้วย ความกระหายอยากรักษาอำนาจจึงได้ร่วมมือกับ แตงดาวุ่นกี้และกินหวุ่นมินกี้ สองขุนนางใหญ่วางแผนให้พระนางศุภยาลัตได้เสกสมรสกับเจ้าฟ้าพระองค์ใดองค์ หนึ่ง ซึ่งเลือกเอาพระเจ้าธีบอซึ่งตอนนั้นก็ยังทรงผนวชอยู่
ตอนนั้น จริงๆแล้ว พระเจ้ามินดงมีเจ้าฟ้านยองยานกับเจ้าฟ้านยองโอ๊กที่พอจะมีความสามารถขึ้น ครองราชย์ เพราะทั้งสองพระองค์เรียนจบโรงเรียนฝรั่ง มีความฉลาดและเข้มแข็งพอสมควร
แต่พระนางอเลนันดอและขุนนางเห็นว่าจะคุมได้ยาก จึงเลือกพระเจ้าธีบอที่อ่อนแอกว่า และรอเวลาจะฮุบอำนาจนั้น เพราะพระเจ้ามินดงก็เกรงพระทัยมเหสี จึงไม่ได้ตั้งเจ้าฟ้าพระองค์ใดเป็นรัชทายาทโดยเด็ดขาด
พระนางศุภยาลัตก็ได้เสกสมรสกับเจ้าฟ้าธีบอ (ซึ่งจริงๆก็คือพี่น้องแต่คนละแม่กัน)
เมื่อ พระเจ้าธีบอได้เป็นกษัตริย์ ก็เกรงพระราชหฤทัยพระมเหสีที่สุด พระองค์ไม่กล้าแม้จะมีสนม และไม่กล้าขัดหรือค้านนโยบายต่างๆที่ออกมาจากความคิดของพระนางศุภยาลัตและ พวกพ้องซึ่งแทบทั้งสิ้นคือการขูดรีดประชาชน
แล้วเอาเงินไปซื้อสินค้า ต่างประเทศ เพชรพลอยราคาแพง ของเล่นสนุกทั้งหลาย พระเจ้าธีบอเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ดื่มน้ำจันทน์ ปล่อยการบริหารบ้านเมืองให้อยู่ในมือมเหสีและขุนนางที่ช่วยกันเถลิงอำนาจให้ พระองค์ การคล้อยตามเมียและบริวารจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจกิจการบ้านเมือง มีผลทำให้ราชวงศ์สุดท้ายของพม่าถึงแก่ล่มสลายลงไปในที่สุด
เมื่อพระเจ้ามินดงทรงพระประชวรหนัก พระนางอเลนันดอจึงเรียก
พวกเสนาบดีประชุมในที่รโหฐานและประกาศตั้งเจ้าฟ้าสีป่อเป็นรัชทายาท
และจับกุมบรรดาเจ้าฟ้าและขุนนางในฝ่ายอื่นๆที่ไม่ใช่พวกของตัวเองขังคุกไปมากมาย
ต่อมาเมื่อพระเจ้ามินดงสวรรคตแล้ว ก็ให้เจ้าฟ้าสีป่อขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงพม่า พอขึ้นครองราชย์ได้
พระมเหสีและมารดา กลุ่มขุนนางและบรรดาพี่น้องก็ถูกสังหารรวมประมาณ 500 กว่าคน
เจ้าชายองค์ใดถูกปลงพระชนม์
เจ้า จอมมารดา พระญาติและบรรดาลูกๆ รวมทั้งเจ้าน้ององค์หญิงเจ้าชายองค์นั้น ซึ่งมีทั้งผู้เฒ่าชราและแม้แต่เด็กจนถึงทารกไร้เดียงสาก็ถูกสังหารอย่างโหด ร้ายจนสิ้นด้วยสารพัดวิธี
ส่วนเหล่า ขุนนางที่เคยรับใช้หรือญาติทางฝ่ายจอมมารดาก็จับสังหารเหมือนกัน สารพัดวิธีที่โหดร้ายพิสดาร เพื่อถอนรากถอนโคนจนหมดสิ้น
การสังหารหมู่ดังกล่าวใช้เวลาอยู่สามวันจึงสังหารได้หมดเพราะต้องฆ่าที่วังแต่เวลากลางคืน เพื่อไม่ให้พวกชาวเมืองรู้
ที่เลือดเย็นกว่านั้นคือ
พระนางศุภยาลัตทรงให้จัดงานปอยตลอดสามวันนั้น ให้ชาวเมืองเที่ยวงานให้สนุก พระเจ้าธีบอก็จัดให้ดื่มน้ำจัณฑ์จนเมามายเพื่อไม่ให้สนใจการสังหารครั้งนั้น
เมื่อสังหารแล้วก็จับโยนใส่หลุมใหญ่ข้างวังรวมกัน แล้วเอาดินกลบ แต่พอพ้นสามวัน ศพเหล่านั้นเริ่มขึ้นอืดจนเนินหลุมที่ฝังพูนขึ้น ก็เอาช้างหลวงมาเหยียบย่ำให้ดินที่นูนขึ้นมานั้นแบนราบลง
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถปิดบังหลุมใหญ่นั้นได้ เพราะจำนวนศพมีมากจนดันเนินดินให้นูนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สุดท้ายก็ต้องให้ขุดศพใส่เกวียนไปฝังบ้าง ทิ้งน้ำบ้าง[2]
จน เป็นเรื่องที่มีการเล่าขานมากที่สุดคือการสำเร็จโทษเหล่าพระบรมวงศ์สานุวงศ์ น้อยใหญ่ เป็นเวลา 3 คืน จะเห็นว่าการขึ้นสู่อำนาจของพระเจ้าธีบอ เต็มไปด้วยการจัดการจากกลุ่มคนที่กระหายเลือด กระหายอำนาจและโลภโมโทสันทั้งสิ้น
เล่ากันว่าคืนนั้นสุนัขเห่าหอนทั้งคืน จนชาวเมืองผวาไม่เป็นอันหลับอันนอน
พระนางจัดให้เอาวงดนตรีปี่พาทย์ การแสดงต่าง ๆ มาบรรเลงในวังตลอดเวลาที่ทำการสำเร็จโทษพวกเจ้านาย เพื่อให้เสียงดนตรีปี่กลองกลบเสียงกรีดร้องขอชีวิต หากดังไม่พอ เสียงฮาจะช่วยได้มาก
(และการรำระบำสวมหน้ากากที่มีดนตรีเร่งเร้าเสียงดังก็เป็นหนี่งในการแสดงครั้งนั้นด้วย)
พระ นางตรัสให้คนร้องร้องดังขึ้น เล่นตลกให้ดังขึ้น และพระสรวลดังๆ แต่บางครั้งมีเสียงหวีดมาแต่ไกล พระเจ้าสีป่อจึงหันไปทางต้นเสียง พระนางศุภยาลัตก็หันมาถลึงพระเนตรกับปี่พาทย์
ส่วนนางพนักงานก็รินน้ำจัณฑ์ใส่ถ้วยทองถวายถึงพระหัตถ์พระเจ้าสีป่อ[3] แต่ขณะเดียวกันในประวัติศาสตร์พม่านั้นเชื่อว่าพระนางอเลนันดอ
และเกงหวุ่นเมงจีอยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าโอรสธิดา[4]
พระ นางศุภยาลัต (พม่า :???) ประสูติ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2402 สิ้นพระชนม์ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อลองพญา ประสูติแด่พระเจ้ามินดง กับพระนางชินพยูมาชิน (Hsinbyumashin ; นางพญาช้างขาว หรือที่รู้จักกันในนามพระนางอเลนันดอ) ด้วยความทะเยอทะยานของพระนางศุภยาลัต พระองค์จึงได้เป็นพระราชินีในพระเจ้าธีบอกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งพม่า
การสูญสิ้นอำนาจพระนางศุภยาลัต
ทำ ให้แตงดาวุ่นกี้ไม่พอใจที่อังกฤษให้ค่าสัมปทานป่าไม้น้อย และฝรั่งเศสทำท่าจะเข้ามาเสนอให้มากกว่า ประกอบกับมีการกล่าวหาว่าอังกฤษลอบตัดไม้เกินกว่าที่ได้รับสัมปทาน
พม่า เลยสั่งปรับอย่างหนักถึง 1 ล้านรูปี อังกฤษก็ไม่พอใจยื่นประท้วง แต่พม่าไม่ยอม ตอนนั้นพระนางศุภยาลัตคิดว่าตัวเองมีฝรั่งเศสหนุนหลัง
แต่ต่อมาเกิดเรื่องเข้าจริงๆ ฝรั่งเศสก็วางตัวเป็นกลาง
วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2428 อังกฤษก็เริ่มส่งข้อเรียกร้องขั้นเด็ดขาด
และพม่ายอมไม่ได้ เช่น ให้อังกฤษเป็นคนควบคุมนโยบายการค้าการเดินเรือของพม่าทั้งหมดฯลฯ มิฉะนั้นจะรบกับพม่า
ซึ่งขณะนั้นอังกฤษได้ยึดพม่าได้ทางใต้ได้แล้วจากสนธิสัญญายันดาโบ
พระ นางศุภยาลัตประกาศรบอังกฤษด้วยความหยิ่งยะโสโอหังว่าพม่านั้นเป็นชาติมหา อำนาจในเอเชียอาคเนย์ เคยชนะมาแล้วแม้แต่จีน หลงละเมอเพ้อพกอยู่กับอดีตอันยิ่งใหญ่ของพม่า
โดยไม่เคยสนใจความก้าว หน้าของโลก โดยเฉพาะประเทศอภิมหาอำนาจแห่งยุคนั้นอย่างอังกฤษที่มีอาณานิคมทั่วโลกและ เข้มแข็งทางการทหารอย่างยิ่ง
พระเจ้าธีบอตามพระทัยมเหสีจึงสั่งให้ เตรียมพลไปรบ อังกฤษก็ให้นายพลแฮร์รี เพนเดอร์กาส นำทหารทั้งฝรั่งและอินเดียเคลื่อนพลเข้ารบ จากย่างกุ้งบุกไปตามลำน้ำอิรวดีถึงมัณฑะเลย์อย่างสบาย ใช้เวลาแค่ 14 วันก็ยึดเมืองหลวงได้
นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า นอกเหนือจากอาวุธที่ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือราษฎรไม่คิดจะต่อสู้เพราะไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร
เนื่องจากรัฐบาลของพระเจ้าธีบอโดยพระนางศุภยาลัต กดขี่พวกเขามาตลอด บ้านเมืองจึงขาดความสามัคคีขนาดหนัก
เนื่องจากกษัตริย์และมเหสีไม่เคยทำตนให้เป็นที่รักของประชาชนพม่า
ของพระองค์เอง
พระ เจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัตจึงถูกเชิญให้ไปยังเมืองรัตนคีรี ซึ่งเป็นการสิ้นสุดเอกราชของพม่า และการปกครองโดยราชวงศ์อลองพญาที่มีมาอย่างยาวนาน
พระเจ้าธีบอ และพระนางศุภยาลัตถูกเชิญออกนอกประเทศเชิงกักกันที่เมืองมัทราสประเทศอินเดียราว 2-3 เดือน
ภายหลังจึงส่งไปประทับถาวรที่เมืองรัตนคีรีเมืองเล็กๆทางชายฝั่งทะเล ทางใต้เมืองบอมเบย์[5] (มุมไบในปัจจุบัน)
แม้ พระนางศุภยลัตถูกเนรเทศอยู่พระนางยังยังทำยศเป็นราชินีอยู่อีก ใครจะมาหาต้องคุกเข่าคลาน ไม่ยอมไปไหนเพราะไม่มีวอ ประสูติพระราชธิดายังต้องมีถาดทองรองรับ
เจ้ายศเจ้าอย่างจนพวกที่ตามไปด้วยจากพม่าทนไม่ไหวหนีกลับพม่าหมด
ใน ที่สุดก็เกิดทะเลาะกับพระนางอเลนันดอผู้เป็นแม่ จนพระนางอเลนันดอต้องขอกลับพม่า อังกฤษก็ยอมให้กลับคุมตัวไว้ที่ เมืองเมาะลำเลิงจนสิ้นพระชนม์
พระเจ้าธีบอกับพระนางศุภยลัตถูกเนรเทศอยู่ที่ประเทศอินเดียนาน 31 ปี จนพระเจ้าธีบอจึงสิ้นพระชนม์ที่เมืองรัตนคีรีนั่นเอง
พระนางจึงได้รับอนุญาตให้พาลูกสาวกลับพม่าไปอยู่ร่างกุ้ง ส่วนพระศพพระเจ้าธีบอนั้นฝังไว้ที่อินเดีย
คืนสู่พม่า
กว่าจะกลับเป็นประเทศเอกราชอีกครั้งก็หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อพระนางได้กลับมาสู่พม่าที่เมืองย่างกุ้ง
ขณะ อยู่ที่เมืองย่างกุ้งก็ยังทำยศทำศักดิ์ไม่ยอมคบหาสมาคมกับใคร ใครไปหาต้องหมอบกราบ ทรงเคียดแค้นขุนนางพม่าที่ไปเข้ากับอังกฤษ ตรัสบริภาษอยู่เป็นประจำ มีฝรั่งเขียนเกี่ยวกับพระนางไว้ว่า
เมื่อพระนางแก่ตัวเข้าและรู้สำนึกในชีวิตแล้ว ทรงสงบเสงี่ยม สุภาพ น่าสงสาร ทรงเลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อน และเสียพระทันต์ทั้งหมด[6] พระนางอยู่ในตำหนักที่อังกฤษจัดถวายให้ในเมืองย่างกุ้ง 10 ปี จึงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ขณะพระชนมายุ 65 พรรษา
การ จัดการพระศพก็เป็นไปตามยถากรรม ไม่ได้มีพิธีรีตองมากมายไม่ต่างจากคนทั่วไป ไม่เหลือเค้าโครงใดๆให้เห็นว่าครั้งหนึ่งนางเคยเป็นพระราชินีผู้ยิ่งใหญ่ที่ สุดองค์หนึ่งของพม่า
ปัจจุบันยังมีที่ฝังพระศพอยู่ในย่างกุ้ง[7] โดยรัฐบาลอังกฤษจัดการพระศพ
ให้ตามธรรมเนียม
แต่ไม่อนุญาตให้เชิญพระศพขึ้นไปที่ราชธานีกรุงมัณฑะเลย์ คงอนุญาตเพียงแต่ทำเป็นมณฑปบรรจุพระอัฐิเท่านั้น
ปัจจุบันนี้อยู่ที่ถนนเจดีย์ชเวดากอง (Shwe Dagon Pagoda Rd.) ห่างจากบันไดด้านทิศใต้ของพระเจดีย์ชเวดากองมาประมาณ 200 เมตร สร้างเป็นกู่ทรงมณฑปยอดปราสาทแบบพม่า ก่ออิฐฉาบปูนขาว รูปทรงคล้ายที่ฝังพระศพของพระเจ้ามินดงในกรุงมัณฑะเลย์ ที่ฐานล่างมีแผ่นจารึกแผ่นเล็กของตอปยากะเล (Taw Payar Kalay) หรือออง ซาย (Aung Zay) ซึ่งเป็นพระราชนัดดาองค์สุดท้ายของพระเจ้าสีป่อ ที่เสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 2006 และนำอัฐิมาฝังไว้ในกู่เดียวกับพระนางศุภยาลัต โดยพระนางมีศักดิ์เป็น "พระอัยยิกา"
ของนัดดาองค์นี้[8]
รูปสามคน/รูปพระเจ้าธีบอ พระนางศุภยลัต และพระนางสุปยายี
พระ ฉายาลักษณ์ของพระเจ้าธีบอ (ขวา) พระราชินีศุภยาลัต (กลาง) และพระกนิษฐาของพระนางคือพระนางศุภยาคยี (ซ้าย) ที่พระราชวังหลวง เมืองมัณฑะเลย์ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1885 ไม่ทราบผู้ถ่าย
การจับ พระเจ้าสีป่อลงเรือกลไฟ ในภาพได้มีการบรรยายไว้ว่า เป็นบรรยากาศท่าเรือขณะจับกุมตัวกษัตริย์พม่า ซึ่งถ้าเป็นดังนี้จริง สภาพเรือก็ไม่สมพระเกียรติยศอย่างที่บรรยายไว้
พระนางศุภยลัต ขณะบวชเป็นชี
กู่มณฑปบรรจุพระอัฐิของพระนางศุภยาลัต และพระนัดดา
เอกสารอ้างอิง
อ้าง อิง1.^ Christopher Buyers. "The Konbaung Dynasty Genealogy". royalark.net. http://www.royalark.net/Burma/konbau11.htm. เรียกข้อมูลเมื่อ 2009-09-26.
2.^ พม่าเสียเมืองก็เพราะกษัตริย์อ่อนแอและมเหสีหฤโหด
3.^ บุญยงค์ เกศเกศ. อรุณรุ่งฟ้า"ฉาน"เล่าตำนานคน"ไท". กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์หลักพิมพ์, 2548. หน้า 69
4.^ พม่าเสียเมือง ฉบับ"คนพม่า"บันทึก
5.^ บุญยงค์ เกศเทศ. อรุณรุ่งฟ้า"ฉาน"เล่าตำนานคน"ไท". หน้าที่ 55
6.^ มาดูรูปพิธีกรรมสำเร็จโทษเจ้านายในพม่ากัน จากเว็บพันทิป
7.^ ชวนกันเป็นชาวคติชน : อยากทราบประวัติของพระนางศุภยลัตค่ะ
8.^ (.....ราชสุสาน ณ นครย่างกุ้ง.....)
คึกฤทธิ์ ปราโมช. พม่าเสียเมือง.
สาส์นสมเด็จ เล่ม 9 พ.ศ. 2479 (เมษายน - กันยายน) พิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. 2543 (รักษาตัวสะกดเดิม)
ลาย พระหัตถ์สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถึง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เล่าเรื่องเที่ยวเมืองพะม่า วินิจฉัยกรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ 1) หน้า 335 - 341 และเล่าเรื่องเมืองพะม่า วินิจฉัยกรรมเมืองพะม่า (ท่อนที่ 27) หน้า 355-359