ณ บริเวณกิโลเมตรที่ 44.4 ก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,478.5 เมตร
ด้วยสภาพท้องฟ้า ภูมิอากาศ และทัศนวิสัยในยามค่ำคืน ที่ปราศจากมลพิษทางอากาศและแสงรบกวนจากชุมชน และนักท่องเที่ยว
ที่นี่… จึงกลายเป็นสถานที่จัดตั้ง “หอดูดาวแห่งชาติ” ซึ่งได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า “หอดูดาวแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา”
และพร้อมที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 22 มกราคมนี้ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน
“รองศาสตราจารย์บุญรักษา สุนทรธรรม” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. บอกว่า เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน ที่ไทยจะมีหอดูดาวขนาดใหญ่รองรับงานวิจัยระดับโลก โดยสามารถใช้เป็นที่วิจัยสังเกตดวงดาวและปรากฏการณ์บนท้องฟ้าได้มากกว่า 200 คืนต่อปี ที่โดดเด่นกว่าหอ
ดูดาวอื่น ๆ เพราะปัจจุบันมี
หอดูดาวไม่กี่แห่งในโลกที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นจุดสังเกตการณ์ทั้งซีกฟ้าเหนือและซีกฟ้าใต้ได้ตลอดทั้งปี…และที่ สำคัญหอดูดาวแห่งนี้ ได้มีการติดตั้งกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ …
“ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา” รองผู้อำนวยการ สดร. บอกว่า ตัวกล้องเป็นระบบอัลตะซิมุท สามารถเล็งและติดตามวัตถุบนท้องฟ้าได้อย่างแม่นยำ ติดตั้งพร้อมระบบโดมไฟเบอร์กลาส หมุนได้ 360 องศา ทั้งหมดทำงานอัตโนมัติ ควบคุมด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากระยะไกล ซึ่งปกติจะติดตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารหอดูดาว และรองรับการสั่งงานผ่านอินเทอร์เน็ต เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบการทำงานกล้องรวมถึงใช้กล้องบันทึกข้อมูลวัตถุบน ท้องฟ้าได้จากทุกที่ทั่วโลก
จากเครื่องมือประสิทธิภาพสูงนี้ ทำให้หอดูดาวฯ สามารถรองรับงานวิจัยสำคัญ เช่น การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ การศึกษาลักษณะและวิวัฒนาการของดาวคู่แบบใกล้ชิด การศึกษาการระเบิดของดาวฤกษ์ รวมถึงการระเบิดของกาแล็กซี่
ซึ่งปัจจุบันมีความ ร่วมมือในการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ และเปิดให้บริการทางวิชาการแก่โรงเรียน ชุมชน และประชาชนทั่วไปที่สนใจเฝ้าศึกษาปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์หอดูดาวแห่งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาด้านดาราศาสตร์ของไทย ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด และผลักดันให้ไทยเป็นผู้นำด้านดาราศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงก้าวสู่การยืนแถวหน้าในระดับโลกได้อย่างไม่ยาก.
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ที่มา:http://www.dailynews.co.th/technology/178606