แพทย์แผนไทย โคราช รักษาโรค SLE ไขความลับวิธีรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ( SLE)
รถตู้ให้เช่า ร้อยเอ็ด
หมอเอ ณัฐปราชญ์ คลินิก

korat_sport

 

ผมเคยบรรเลงบรรลัยไม่ไล่ก็ไม่คิดเลิก

กับเรื่องราวของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เวอร์ชั่น beginning in the end เมื่อครั้งที่ “คิง เคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกจากสโมสรไปเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 1991

นับจากนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่ามาตลอดในการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดนับตั้งแต่ได้แชมป์ ครั้งสุดท้าย ปี 1990 มาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ก็จะต้องนับเลขต่อไปเรื่อยๆ

กระทั่ง รอย ฮอดจ์สัน ได้แสดงฝีมือเพียงแค่ครึ่งปีตั้งแต่เดือนสิงหาคม อปี 2010 ต้องระเห็จออกจากแอนฟิลด์ไปเรียบร้อย ทิ้งร่องรอยการเป็นกุนซือที่คุมทีมน้อยที่สุดประวัติศาสตร์

พร้อมกับทำให้ทีมย่อยยับที่สุดในรอบ 57 ปี

 

korat_sport

นั่นคือการดิ้นรนหนีการตกชั้น

กระทั่งเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2011 ซึ่งตรงกับ “วันเด็กแห่งชาติ” มันทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลหลายๆ คน นึกว่าตัวเอง “14 อีกครั้ง” เมื่อมีข่าวใหญ่

ดัลกลิช กลับมาคุมทัพลิเวอร์พูลอีกครั้ง

จะไม่บอก “14 อีกครั้ง” ได้ยังไง เพราะตอนที่ “คิง เคนนี่” เปิดตูดลาทีมไปตอนนั้น....ผมก็อายุ 14 !!!!!!!!!!

คิดดูแล้วกันจนถึงป่านนี้ ก็ไม่เคยที่จะได้แชมป์ลีกสูงสุด หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ทั้งที่เปลี่ยนกุนซือมามากหน้าหลายตาไล่ตั้งแต่ แกรม ซูเนสส์, รอย เอฟแวนส์, เชราร์ อุลลิเยร์, ราฟา เบนิเตซ และรอย ฮอดจ์สัน

จุดเริ่มต้นแห่งความล้มเหลว เกิดขึ้นหลังจากสกอร์จบลงที่ 4-4 ในศึกเอฟเอคัพ นัดรีเพลย์แมทช์ เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 1991 ที่กูดิสัน พาร์ค แบบที่ ลิเวอร์พูล ออกนำก่อนถึง 4 ครั้งแต่โดนตีเสมอถึง 4 ครา มันทำให้วันรุ่งขึ้นข่าวร้ายที่สุดอีกหนึ่งข่าวของอาณาจักรแอนฟิลด์ได้ อุบัติขึ้น เมื่อ เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

 

korat_sport

ก่อนที่มันจะเริ่มต้นจุดเริ่มต้นแห่งความล้มเหลว ภาค 2 อีกหรือไม่ หลังจาก ลิเวอร์พูล ปลด เคนนี่ ดัลกลิช พ้นทีมไปเมื่อปิดซีซั่นที่ผ่านมา แล้วนำ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาทำงานแทน

ทั้งที่ “คิง เคนนี่” พาทีมยุติการรอคอยถ้วยแชมป์เอาไว้ที่ 6 ปี พร้อมกับเข้าชิงบอลถ้วยได้ถึงสองรายการ

ร็อดเจอร์ส นาทีนี้กลับทำงานได้อย่างน่ากังขา แม้ว่าสไตล์การเล่นจะได้รับการยกย่อง แต่เมื่อมองถึงตัวเลขต่างๆ แล้ว ถือว่า “ไม่ผ่าน...อย่างแรงส์” !!!!!!!

เป็นที่ทราบกันว่า จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ตัดสินใจปลด คิง เคนนี่ เนื่องจากไม่ได้ไปเล่นบอลถ้วยใหญ่ หลังจากผลงานในลีกย่ำแย่ แต่ถ้าหากได้แชมป์เอฟเอ คัพ ก็จะไม่ปลดจากตำแหน่ง

การได้แชมป์ลีกคัพนั้นไม่พอเพียง

นาทีนี้ผลงานในลีกของ ลิเวอร์พูล นั้นเลวร้ายมากเลวร้ายกว่ายุคดัลกลิชชัดเจนมากๆ

ผ่านไป 26 นัด ร็อดเจอร์ส ทำทีมได้ 36 คะแนน และเคยพาทีมไปเกลือกกลั้วนัวเนียกับท้ายตารางต่อเนื่องถือเป็นการออกสตาร์ ทที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 20 ปี หรือแย่สุดตั้งแต่ซีซั่น 1992-93

ตัวเลขนี้มันคล้ายกับด้านบนมากๆ ที่ ดัลกลิช ลาออกไป

 

korat_sport

20 ปีที่แล้ว แกรม ซูเนสส์ อดีตกัปตันทีมชุดเจ้ายุโรป ปี 1984 เข้ามาทำงานแทน ดัลกลิช พาทีมได้เพียง 34 แต้มเท่านั้น แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล หล่นไปกองท้ายตารางฉลอง 100 ปีของสโมสร

ใครที่ได้ดูบอลตั้งแต่ยุคนั้น จนถึงเวลานี้อาจจะมีอะไรที่คิดขึ้นมาตรงกัน

ผมจับสัญญาณแห่งความล้มเหลวจากชุดนั้น ก็คือ ซูเนสส์ต้องการที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาตัดสินใจขายตัวหลัก ๆ อย่าง เรย์ เฮาจ์ตัน, ปีเตอร์ เบียดสลี่ย์ กระทั่ง ดีน ซอนเดอร์ส ที่เขาซื้อมาเองออกไปจากทีมทั้งที่อยู่แค่ปีเดียว

ทีมเปลี่ยนโฉมหน้าไปหมดจากยุคดัลกลิช จะมีก็แค่ เอียน รัช, สตีฟ นิโคล, บรู๊ซ กร็อบเบลลาร์ และ จอห์น บาร์นส์ เป็นหลัก พร้อมกับดัน แยน โมลบี้ เป็นตัวจริง ซึ่งแต่ละคนก็ไม้ใกล้ฝั่งแทบทั้งนั้น

แถม บาร์นส์ ก็บาดเจ็บบ่อย และขยับจากปีกซ้ายมาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง

ที่เหลือถือว่าเด็กๆ ทั้งนั้น

ส่วนภูผานั้นแข็งอย่าง เกล็น ไฮเซ่น ก็ถูกดร็อป เนื่องจาก ซูเนสส์ มั่นใจ ทอร์เบน พีชนิค ปราการหลังชุดแชมป์ยูโร 92 ของเดนมาร์ก จนเป็นที่มาของรางวัลการซื้อตัวชิ้นโบดำแห่งยุคเลยทีเดียว เนื่องจาก มาร์ค ไรท์ ที่หวังจะให้เป็นแกนนำก็เจ็บบ่อยมาก

ซูเนสส์ เข็นเด็กดาวรุ่งลงเล่นมากมาย สตีฟ แม็คมานามาน, นิค แทนเนอร์, ไมค์ มาร์ช รวมถึง “ไอ้หนุ่มเพจโฟน” ดอน ฮัทชิสัน และไปซื้อ พอล สจ๊วร์ต มาจากสเปอร์ส กับ มาร์ค วอลเตอร์ส จากเรนเจอร์ส ซึ่งแป๊กทั้งคู่ ที่ดีหน่อยก็คือแบ๊กขวาดาวรุ่งจากครูว์ที่ชื่อ ร็อบ โจนส์ และแบ๊กซ้ายนอร์วีเจี้ยนอย่าง สติ๊ก อิงเก้ บียอห์นบี้ รวมไปถึงนายประตูไซเรนเลิฟอย่าง เดวิด เจมส์

korat_sport

ฉันใดก็ฉันนั้นคนเรามีความมั่นใจ แต่ ซูเนสส์ เป็นคนที่ต่อมความมั่นใจโตมาก เช่นเดียวกับ ร็อดเจอร์ส

ลักษณะของสองทีมสองยุคความห่าง 20 ปีใกล้เคียงกันมาก เพราะปัจจุบัน ร็อดเจอร์ส มีดาวรุ่งหลายคนทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, ซูโซ่, จอนโจ้ เชลวี่ย์, อังเดร วิสดอม และที่ซื้อเข้ามาทำท่าจะดีอย่าง โจ อัลเลน, ฟาบิโอ บอรินี่, อุสซามะห์ อัสไซดี้, แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

ที่ไม่รู้ว่าจะแป๊กกี่คน เพราะอาการมันออกมาแล้ว

มีพวกไม้ใกล้ฝั่งอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เปเป้ เรน่า และขึ้นฝั่งแน่คือ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ส่วนตัวหลักที่เจ็บบ่อยคือ ลูคัส เลว่า

ไฟท์ล่าสุดอย่างที่เห็น ในเกมแพ้ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก การเล่นดีแต่ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ทั้งที่เป็นทีมที่สร้างโอกาสในการทำประตูได้มากที่สุดในบรรดา 5 ลีกหลักของยุโรป

แต่กลับหามีประสิทธิภาพไม่

ผมขอลงท้ายเหมือนกับที่เคยเขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า ฝันร้ายที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว....ยังตามหลอกหลอนจนถึงวันนี้ และไม่รู้เมื่อไหร่ “เดอะ ค็อป” จะฝันดี

ตอบไม่ได้เหมือนกัน!

บี แหลมสิงห์

 

ที่มา:
http://www.naewna.com/sport/41793

 

Go to top