ในบทความสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เขียนเรื่องค่าภาคหลวงและการแบ่งปันผลประโยชน์ในการสำรวจ ขุดเจาะและผลิตปิโครเลียมในประเทศไทยเอาไว้ โดยระบุว่าประเทศไทยไม่ได้เสียเปรียบผู้รับสัมปทานมากมายอย่างที่มีผู้ พยายามนำไปขยายความตามสื่อสังคม (social media) ต่างๆว่า ประเทศไทยได้ผลตอบแทนเพียงน้อยนิดแค่ 12.5% ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ค้นพบเท่านั้น โดยผมได้แสดงตัวเลขของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงานให้เห็นกันอย่างชัดเจนแล้วว่า เราได้ส่วนแบ่งรายได้รวมกันทั้งสิ้นถึง 60% ในขณะที่ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ลงทุนทั้งหมดนั้นได้ส่วนแบ่งรายได้ไปเพียง 40% เท่านั้น
เนื่องจากมีท่านผู้อ่านสนใจสอบถามในรายละเอียดของกฏหมายปิโตรเลียมและการ แบ่งปันรายได้ว่ามีรายละเอียดในการคิดกันอย่างไร ดังนั้นในวันนี้ผมจึงขอพูดถึงเรื่องนี้กันอีกสักครั้ง เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยเริ่มกันมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2464 เป็นการสำรวจหาน้ำมันเพื่อเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถไฟ และในระยะแรกดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ต่อมาในปี 2504-07 ได้มีเอกชนจากต่างประเทศมาขอดำเนินการสำรวจปิโตรเลียมบนบก จึงได้มีการให้สิทธิการสำรวจไปภายใต้กฏหมายว่าด้วยเหมืองแร่
การสำรวจปิโตรเลียมในประเทศไทยเริ่มต้นยุคปัจจุบันกันอย่างจริงจังในปี 2510 ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เอกชนมาลงทุนสำรวจหาปิโตรเลียม ในประเทศ จึงได้เลือกระบบสัมปทานซึ่งจูงใจให้มีการมาลงทุน และได้ร่างกฏหมายว่าด้วยปิโตรเลียมขึ้นมาเพื่อใช้กับการให้สัมปทาน ปิโตรเลียมโดยเฉพาะแทนการใช้กฏหมายเหมืองแร่
ปี 2514 การยกร่างกฏหมายปิโตรเลียมแล้วเสร็จประกาศใช้เรียกว่า พรบ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และพรบ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 โดยมีหลักการให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนและเมื่อมีกำไร ให้แบ่งปันผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่รัฐผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรในอัตราครึ่ง หนึ่ง โดยเรียกระบบการแบ่งปันผลประโยชน์นี้ว่า ระบบ Thailand 1
ระบบ Thailand 1 มีข้อกำหนดดังนี้
1. เก็บค่าภาคหลวงในอัตราร้อยละ 12.5 ของรายได้จากการขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียม
2. เก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียมในอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ
จะเห็นได้ว่าการแบ่งปันรายได้ตามระบบ Thailand 1 นี้ รัฐจะได้ส่วนแบ่งรายได้สูงกว่า 50% ของกำไรสุทธิของผู้ประกอบการอย่างแน่นอน และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลดหย่อนลงเหลือ 23% หรือ 20% เหมือนภาษีนิติบุคคลอื่นๆที่ได้ปรับลดหย่อนลงมาในปัจจุบันแต่อย่างใด
ต่อมาในปี 2524 ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้พุ่งขึ้นสูงมาก และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยก็มีการค้นพบแหล่งปิโตรเลียมมากขึ้น ทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ทั้งบนบกและในทะเล จึงเกิดความคิดที่จะเรียกเก็บผลประโยชน์จากการให้สัมปทานปิโตรเลียมให้มาก ขึ้น โดยกำหนดให้ผู้ยื่นขอสัมปทานรายใหม่ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นไป ต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษให้รัฐเพิ่มขึ้นจากระบบ Thailand 1 เรียกว่าระบบ Thailand 2 โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ
1. ผู้รับสัมปทานจะหักค่าใช้จ่ายในแต่ละปีได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของรายได้ในปีนั้น (ของเดิมหักได้ตามจริง)
2. ผู้รับสัมปทานต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ (นอกเหนือจากค่าภาคหลวง) ตามปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตเพิ่มขึ้นดังนี้
2.1 ส่วนทีผลิตเฉลี่ยวันละ 10,000-20,000 บาร์เรล/วัน จ่ายร้อยละ 27.5
2.2 ส่วนทีผลิตเฉลี่ยวันละ 20,000-30,000 บาร์เรล/วัน จ่ายร้อยละ 37.5
2.3 ส่วนทีผลิตเฉลี่ยวันละ 30,000 บาร์เรล/วันขึ้นไป จ่ายร้อยละ 43.5
ระบบ Thailand 2 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2525 มีผู้ได้รับสัมปทานภายใต้ระบบนี้ 7 ราย แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้รับสัมปทานรายใดสามารถพัฒนาแหล่งผลิตปิโตรเลียมภายใต้ ระบบนี้ได้เลย เนื่องจากแหล่งปิโตรเลียมในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งขนาดเล็ก (marginal fields) ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยค่อนข้างสูง หลายแหล่งที่สำรวจพบไม่สามารถพัฒนาการผลิตในเชิงพาณิชย์ภายใต้ระบบ Thailand 2 ได้ เนื่องจากผู้รับสัมปทานต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่รัฐมากจนกระทั่งไม่มี กำไร ดังนันจึงไม่มีการเรียกเก็บผลประโยชน์ภายใต้ระบบ Thailand 2 แต่อย่างใด
ดังนั้นเพื่อให้ได้ระบบที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับลักษณะทางกายภาพของ แหล่งสำรองปิโตรเลียมในประเทศไทย รวมทั้งมีระบบแบ่งปันผลประโยชน์ที่ยืดหยุ่นและสามารถจัดสรรผลประโยชน์แก่รัฐ และผู้ลงทุนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม จึงได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฏหมายปิโตรเลียมอีกครั้งหนึ่ง
โดยในปี 2532 ได้ออกเป็นพรบ.ปิโตรเลียม และพรบ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 4) หรือที่เรียกว่า ระบบ Thailand 3 โดยมีข้อกำหนดเพื่อกระตุ้นการลงทุนดังนี้
1. ปรับปรุงอัตราค่าภาคหลวงจากเดิมที่กำหนดในอัตราตายตัวที่ร้อยละ 12.5 เป็นอัตราก้าวหน้าแบบขั้นบันไดตามปริมาณการขาย คือ
บาร์เรล/เดือน | ร้อยละ |
0-60,000 | 5.00 |
60,000-150,000 | 6.25 |
150,000-300,000 | 10.00 |
300,000-600,000 | 12.50 |
600,000 ขึ้นไป | 15.00 |
2. เพิ่มการเรียกเก็บผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษเข้ารัฐ (Special Remuneration Benefit หรือ SRB) ในลักษณะของการเรียกเก็บ Windfall Profit Tax โดยมีหลักการว่า เมื่อผู้ลงทุนมีกำไรมากแล้ว รัฐก็ควรได้รับส่วนแบ่งเพิ่มเติม (SRB) ในสัดส่วนที่สูงขึ้น นอกเหนือไปจากค่าภาคหลวงและภาษีที่ได้รับอยู่ตามปกติ
ทั้งนี้ หลักการดังกล่าวจะช่วยให้รัฐได้รับประโยชน์มากขึ้น ในกรณีที่มีการพบแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ หรือราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
3. ในส่วนของภาษีเงินได้ปิโตรเลียมนั้น ยังคงไว้ในอัตราเดิมคือร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ
ระบบ Thailand 3 ได้รับการประกาศใช้มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2532 และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า 20 ปี มาจนทุกวันนี้ ทำรายได้เข้าประเทศปีที่แล้วเป็นเงิน 161,000 ล้านบาท
แต่ก็ยังถูกโจมตีจากคนกลุ่มหนึ่งอย่างซ้ำๆซากๆว่า ประเทศไทยได้ผลตอบแทนจากการให้สัมปทานปิโตรเลียมต่ำเกินไป แรกๆก็ประโคมข่าวเสียใหญ่โต ส่งข่าวผ่าน internet, social media กันเป็นไฟลามทุ่งว่า รัฐบาลได้ส่วนแบ่งแค่ 12.5% พอถูกยันด้วยข้อมูลจริงว่ายังมีภาษีรายได้ปิโตรเลียมอีก 50% ก็หันไปใช้ตัวเลข 30% แทน พอถามว่าตัวเลข 30% มาจากไหน เพราะตัวเลขของทางการคือ 60% ของกำไร ก็เลี่ยงไปอีกว่า ต้องคิดจากรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามว่า คุณอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร ลงทุนก็ไม่ได้ลงทุน ความเสี่ยงก็ไม่รับ แต่จะขอแบ่งถึง 70-80% ของรายได้ ใครเขาจะมาลงทุน ถ้าประเทศเรามีทรัพยากรมาก เป็นแหล่งใหญ่แบบเดียวกับ ซาอุดิอาเรเบีย หรือ เวเนซูเอล่า ก็ว่าไปอีกอย่าง อาจตั้งเงื่อนไขต่อรองได้สารพัด
แต่ทุกวันนี้เราต้องนำเข้าพลังงานมากมายมหาศาลเป็นเงินถึงปีละ 1.2 ล้านล้านบาท ถ้าค้นพบแหล่งพลังงานในบ้านก็ต้องรีบเอาขึ้นมาใช้ จะได้ลดการนำเข้า ประหยัดเงินตราต่างประเทศรัฐก็มีรายได้จากการให้สัมปทานปีละแสนกว่าล้านาท นำไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
การจะตั้งเงื่นไขในการขอแบ่งปันผลประโยชน์ก็ต้องตั้งอย่างสมเหตุสมผลไม่ให้ เสียเปรียบต่างชาติ แต่ไม่ใช่ตั้งบนสมมติฐานที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งจะทำให้เราเสียโอกาสในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า
หลายคนบอกว่าจะไปเป็นห่วงบริษัทขุดเจาะน้ำมันทำไมว่าเขาจะไม่กำไร ผมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ เพราะถ้าเขาเห็นว่าเงื่อนไขไม่ดีไม่คุ้มการลงทุน (เหมือนระบบ Thailand 2) เขาก็คงไม่มาลงทุน
แต่ผมเป็นห่วงว่าในอนาคตที่เราต้องนำเข้าพลังงาน 100% นี่สิ จะมีใครที่ออกมาโวยวายอยู่ตอนนี้ จะออกมาร่วมรับผิดชอบกันบ้างไหม !!!
มนูญ ศิริวรรณ
ที่มา:
http://www.dailynews.co.th/article/825/191971