แล้ววันนั้น เฉ่ มะเขือพวง ก็ได้คิดว่าชีวิตของเขามันวาบหวิวเหมือนเดินตีนไม่ติดดิน ให้อ้างว้างอย่างว่าร่างกายทะลุเป็นปล้องอ้อปล้องแขม และหัวใจนั้นโบยบินอย่างว่าวติดลมบนเทียมเมฆโน้น
เขาตื่นขึ้นมองเห็นฟ้าเขียวขรึม และสะเดาตายซากหน้าบ้านทอดก้านกิ่งเปลือยเปลือกของมัน คดโค้งเหมือนเรือนผมสยายของนารีร่ำไห้ ภูเขาเบื้องไกลโพ้น และวัวชิมเล็มหญ้าบนผืนดินแล้งน้ำ และเสียงนกระงมจากชายดงสะแกท้ายไร่ นั้นล้วนชวนให้โผยผวาในอกระทึกเต้น
เขาก่อไฟหุงข้าวนั่งกอดเข่าคร่ำคิดพลางมองดูฟองมันค่อยจับกันเป็นหวอดขาว ละเอียดจับตามริมหยักปากหม้อดิน แล้วประเดี๋ยวมันจึงเดือดพล่านพลุ่งขึ้น ส่งกลิ่นข้าวใหม่หอมโชย เขาหยิบกระจ่ามาคนควัก เม็ดมันยังขาวอย่างหนอน เฉ่ มะเขือพวง มองมันอย่างพิกลว่าเหมือนมิเคยเห็น เขาให้รู้สึกพิกลไปเสียทั้งนั้น แม้แต่ปลาช่อนแห้งที่แขวนไว้ข้างฝาเหล่านั้นก็ดูมันผิดกว่าวันไหนอื่น ปลาสามปลาสี่เนื้อแดงชุ่มมันน่ากิน ผักเสี้ยนดองน้ำพริกถ้วยนั้น... เขารู้สึกหิว แต่แล้วกลับแค้นคอกินไม่ลง ให้รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือจะเอ่ย ฝืนกินได้เพียงน้ำข้าวสองสามโฮก มวนยาใบตองดูด แล้วเร่งเดินออกจากบ้าน
...แบกความทุกข์ทนนั้นไปหารือยังเพื่อนพ้องที่ประชุม กันอยู่ถ้วนหน้า ณ เตาต้มเหล้าป่าโคนต้นหว้าใหญ่ชายดง เฉ่ มะเขือพวง ทอดถอนใจยวบหนักปานว่าฟ้าคำราม รับน้ำยอดใสและแรงรสถึงจุดไฟติดเปลวมาดื่มวาบเดียวเกลี้ยงจอก มันไชชอนเคี้ยวคดตามลำไส้แล้วดันวูบร้อนฉ่าขึ้นบนใบหน้าจนน้ำตาไหล แล้วเขาโพล่งออกมา "เห็นทีข้า จะต้องมีเมียแล้วล่ะเพื่อนเอ๋ย..."
credit by เสเพลบอยชาวไร่ผู้มียี่เกในหัวใจ