ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.2004 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นที่เมืองซาเซโบ นางาซกิ ประเทศญี่ปุ่น
เมื่อเด็กหญิงนัทสึมิ ซึจิ อายุ 12 ปี ฆ่าเพื่อนหญิงร่วมชั้นเรียนของเธอโดยการปาดคอด้วยมีดคัตเตอร์
และกรีดหลังมือเพื่อนจนเห็นกระดูก คดีนี้ถูกตั้งชื่อว่า "คดีเชือดซาเซโบ (Sasebo Slashing)"
คดีฆาตกรรมดังกล่าวเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ และถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกด้วยประเด็นที่น่าแปลกใจว่า เหตุใดเด็กนักเรียนประถม 6 ที่มีอายุเพียง 12 ปี จึงได้โหดถึงขนาดฆ่าเพื่อนของตนเอง แถมยังเดินกลับเข้าห้องเรียนด้วยเสื้อผ้าเปื้อนเลือดอย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมทั้งยิ้มให้กับกล้องของเพื่อน ๆ และครู ที่พยายามถ่ายรูปของเธอเอาไว้ (ภายหลังรูปถ่ายของเธอหลังเกิดเหตุถูกตำรวจยึดไปทั้งหมด)
เรื่องราวนี้จบลงไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อมีใครบางคนได้โพสต์ภาพถ่ายใบหน้าของเด็กหญิงลงบนเว็บไซต์ชื่อดังของญี่ปุ่นโดยไม่มีการเซ็นเซอร์ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย แต่แทนที่สังคมจะออกมาประณามเด็กหญิงฆาตกรในด้านลบ กลับกลายเป็นกระแสในทางบวก เพราะมีผู้คนจำนวนมากพากันขนานนามเธอว่า "ฆาตกรที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์" พร้อมตั้งชื่อเล่นให้เธอว่า "เนวาดา-ตัน" (NEVADA คือตัวอักษรที่สกรีนบนเสื้อของเธอวันที่ทำฆาตกรรม ส่วน Tan แผลงมาจากคำว่า จัง ซึ่งเป็นคำเรียกต่อท้ายเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ)
หลังจากนั้นก็มีทั้งการ์ตูน ตุ๊กตา คอสเพลย์ เกมคอมพิวเตอร์ มาสคอต และอื่น ๆ อีกมายมายของเนวาดา-ตัน ออกมา พวกนักร้องถึงกับเอามาตั้งเป็นชื่อวงดนตรีอยู่ระยะหนึ่ง ราวกับเธอได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่นเลยมีเดียว ภาพที่ติดตาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเธอ คือภาพเด็กหญิงในชุดเปื้อนเลือด ถือมีดคัตเตอร์อยู่ในมือ...
นัทสึมิ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 เป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารัก มีความกระตือรือร้นสูง เป็นนักเรียนดีเด่น และฉลาดมาก จากการทดสอบไอคิว ปรากฏว่าเธอมีไอคิวสูงถึง 140 เข้าขั้นอัจฉริยะ เธอชอบเล่นบาสเก็ตบอล ดูภาพยนต์ และเล่นอินเทอร์เน็ต เธอมีเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งชื่อ ซาโตมิ มิทาไร ชีวิตของเธอดูปกติดีทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม
มีผู้สังเกตว่าเธอค่อนข้างมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง และชอบเก็บตัว ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการดูภาพยนต์ที่มีเนื้อหารุนแรง ภาพยนต์เรื่องที่เธอชอบเป็นพิเศษคือ "Battle Royale” เนื้อหาประมาณว่า มีคนกลุ่มหนึ่งถูกนำไปปล่อยเกาะ ทุกคนจะถูกสวมใส่ปลอกคอที่จะระเบิดหลังจากเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง มีวิธีเดียวที่จะหยุดระเบิดนั้นได้คือการฆ่ากันเอง ผู้ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายคือผู้ที่รอดตายเพียงหนึ่งเดียว
เธอหลงใหลภาพยนต์เรื่องนี้มากถึงกับวาดภาพในวิชาศิลปะ เป็นภาพของตนเองคือหนึ่งในตัวละคร และเป็นผู้ชนะในขณะที่คนอื่นตายหมด
ในปีนั้นเธอถูกครอบครัวสั่งให้เลิกเล่นบาสเก็ตบอล และออกจากชมรมกีฬา เพราะผลการเรียนตกลงเล็กน้อย สำหรับชาวญี่ปุ่นถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง เธอจึงเริ่มดูภาพยนต์มากขึ้น และระบายความเครียดด้วยการเล่นอินเทอร์เน็ต ให้เวลาว่างในการเขียนนิยาย และไดอารี่ นอกจากนี้ยังพบว่าเธอชอบเข้าชมเว็บไซต์ที่มีเนื้อหารุนแรงสยองขวัญที่ถูกห้ามสำหรับเด็กมากมาย
ซ้ายคือ นัทซึมิ ขวาคือซาโตมิ
ซาโตมิ เหยื่อ
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2004 เมื่อซาโตมิ เพื่อนของเธอเขียนคอมเม้นท์ลงในเว็บบอร์ดของนัทสึมิ
เป็นเชิงล้อเล่นว่า "หนัก" ซึ่งหมายถึงเธอนั้นอ้วนเกินไป เป็นเหตุให้นัทสึมิไม่พอใจและถือว่านั่นเป็นคำหยาบคาย
ดูหมิ่น เรื่องเล็ก ๆ นี้ก่อให้เกิดการโต้ตอบถกเถียงกัน เป็นจุดเริ่มต้นให้นัทสึมิคิดฆ่าซาโตมิขึ้นมา
วันที่ 28 พฤษภาคม นัทสึมิเขียนในไดอารี่ ถึงวิธีฆ่าที่ตนจะเลือกใช้สามแบบคือ ใช้มีดคัตเตอร์ ใช้ที่เจาะน้ำแข็ง
หรือไม่ก็บีบคอ พร้อมเขียนว่า "ฉันอยากจะฆ่ามันวันนี้แหละ แต่ทำไม่ได้"
วันที่ 29 พฤษภาคม นัทสึมิ พยายามยื่นข้อเสนอให้ซาโตมิ เขียนคำขอโทษตน แต่ซาโตมิไม่ยอม กลับตอบเธอว่า "อวดเก่ง"
แม้นัทสึมิจะทำการลบคอมเม้นท์ทิ้ง แต่ซาโตมิก็เขียนขึ้นมาใหม่อีกหลายครั้ง จนในที่สุดนัทสึมิก็
ตอบโต้ด้วยคำว่า "แกหายไปจากโลกนี้ซะเถอะ!"
วันที่ 31 พฤษภาคม นัทสึมิ เขียนไดอารี่ว่า "วันพรุ่งนี้ ฉันตัดสินใจจะฆ่ามันด้วยมีดคัตเตอร์"
วันที่ 1 มิถุนายน นัทสึมิ มาเรียนตามปกติ เธอได้ถ่ายรูปหมู่ร่วมกับเพื่อน ๆ และครูในโรงเรียน ตัวเธอสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม
สกรีนคำว่า "NEVADA" ยืนถ่ายรูปใกล้กับซาโตมิ (เด็กใส่แว่นตา) ด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งคู่
ตอนพักกลางวัน นัทสึมิเรียกซาโตมิเข้าไปในห้องเรียนว่างเปล่าห้องหนึ่งที่ชั้นสาม สั่งให้นั่งเก้าอี้ ปิดม่าน จากนั้นก็
พูดกับซาโตมิว่า "ฉันจะฆ่าเธอ" แต่ซาโตมิก็ไม่หนี ด้วยไม่คิดว่านัทสึมิจะกล้าทำจริง ๆ และไม่คิดว่าเรื่องราว
ขัดแย้งล้อเล่นในอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ อีกทั้งนัทสึมิเองก็เป็นเด็กไม่ค่อยแสดงออกมากนัก
แม้จะมีนิสัยก้าวร้าวรุนแรงอยู่บ้างก็ตาม
นัทสึมิดึงแว่นตาออกจากหน้าของเพื่อน แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดตาซาโตมิไว้ ก่อนที่จะใช้มีดคัตเตอร์เชือดคอเป็นรอยยาว 10 เซนติเมตร
ลึกถึง 10 เซนติเมตร ตัดหลอดลมขาด จากนั้นกรีดที่หลังมือของซาโตมิลึกจนเห็นกระดูก ซาโตมิทรุดลงหมดสติทันที
เพราะเสียเลือดมาก นัทสึมิรอประมาณ 15 นาที จนคิดว่าเพื่อนตายสนิทแล้วจึงออกจากที่เกิดเหตุ เธอเดินเข้าชั้นเรียนตามปกติด้วยเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด สร้างความตกใจให้แก่ครูและเพื่อนเป็นอย่างมาก ครูประจำชั้น
รีบแจ้งตำรวจทันที หลายคนพยายามถ่ายรูปเธอ และเธอก็หันมายิ้มหวานให้กล้อง ส่วนร่างของซาโตมิถูกพบโดยครู
ตรวจพบว่าเธอยังหายใจรวยรินจึงรีบพาส่งโรงพยาบาลแต่สายเกินไปเสียแล้ว เธอเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
เมื่อตำรวจมาถึงและควบคุมตัวนัทสึมิ เด็กหญิงก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ" เธอฟูมฟายอยู่ในสถานีตำรวจทั้งคืนและไม่ยอมกินอะไร หลังจากที่เธอสงบลงก็ได้ให้ปากคำว่า เธอฆ่าผู้ตายเพราะผู้ตายเขียนข้อความใส่ร้าย ด่าทอเธอในอินเทอร์เน็ต "เธอเขียนเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับฉันหลายครั้ง ฉันไม่ชอบ จึงเรียกเธอมาและลงมือเชือดคอ
ฉันยังประหลาดใจว่าทำไมฉันจึงทำสิ่งนั้น และฉันอยากขอโทษ..." นี่คือคำสารภาพของเธอ
นัทสึมิถูกส่งตัวให้จิตแพทย์และนักจิตวิทยาเด็กเพื่อตรวจสอบอาการทางจิต เพราะหลายคนเชื่อว่าเธอน่าจะป่วยเป็นโรคแยกตัวจากสังคม เพราะเธอไม่ชอบสุงสิงพูดคุยกับใคร แต่ผลการตรวจพบว่าเธอมีสุขภาพจิตสมบูรณ์ดี ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ศาลจึงตัดสินให้เธอมีความผิดจริงในข้อหาก่อคดีฆาตกรรม
จากคดีนี้ทำให้หลายคนออกมากล่าวโทษสื่ออินเทอร์เน็ต และมีมาตรการให้มีการอบรมสั่งสอนมารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ตแก่เยาวชนชาวญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องแบบนี้มันยากที่จะห้ามปรามได้ เพราะการติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตนั้นไม่เห็นหน้ากัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างขาดความเกรงใจต่อกัน ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอยู่บ่อยครั้ง
จากรายงานล่าสุดเกี่ยวกับนัทสึมิระบุว่า เธอยังคงถูกคุมขังอยู่ในโรงเรียนดัดสันดานที่เมืองโตชิกิ
และจะมีกำหนดพ้นโทษในปี ค.ศ.2013 ซึ่งเธอจะมีอายุครบ 20 ปีพอดี...