กว่าเหตุการณ์สึนามิจะถูกเอ่ยอ้างถึงอย่างเป็นรูปธรรมใน Wonderful Town  หนังก็ดำเนินไปได้ครึ่งค่อนทางแล้ว (แถมยังเป็นการพูดแบบผ่านๆ อีกด้วย  ก่อนจะปรากฏบทสนทนาที่เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นในช่วงท้ายเรื่อง)  กระนั้นคนดูกลับสามารถ “สัมผัส” ได้ถึงโศกนาฏกรรมดังกล่าวอยู่ลึกๆ  ตั้งแต่ภาพแรกของหนัง  ซึ่งแสดงให้เห็นเกลียวคลื่นซัดกระทบชายหาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันอาจไม่รุนแรง  เกรี้ยวกราด แต่การตั้งกล้องในระยะใกล้ก็ช่วยสร้างอารมณ์คุกคามได้ไม่น้อย  เพราะเราไม่อาจมองเห็นว่าระดับคลื่นลูกต่อไปจะหนักเบาเพียงใด  มันอาจพัดพาเอาความหายนะอันคาดไม่ถึงมาแบบฉับพลัน  เฉกเช่นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547  
 
  และถึงแม้หนังจะถูกตัดมายังช็อตต่อไปแล้ว  (ภาพใบหน้าระยะโคลสอัพของตัวละครขณะนอนงีบหลับตรงเคาน์เตอร์ของโรงแรมกลาง เมืองซึ่งตั้งอยู่ไกลจากชายหาด)  แต่เสียงประกอบของเกลียวคลื่นยังคงดังต่อเนื่องอีกชั่วครู่ราวกับจะบอกว่า  เหตุการณ์วันนั้นยังคงฝังรากลึกในจิตใจของผู้คน  ก่อนได้รับการตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อภาพช็อตแรกถูกนำมาตัดแทรกในฉาก นา  (อัญชลี สายสุนทร) ร่วมรักกับ ต้น (ศุภสิทธ์ แก่นเสน)
ตลอดทั้ง เรื่องเหตุการณ์สึนามิดูเหมือนจะล่องลอยไปมาคล้ายวิญญาณ  แล้วผุดโผล่ให้เห็นเป็นครั้งคราวผ่านบทสนทนาบางช่วงตอน  ผ่านซากปรักหักพังริมชายหาด  ซึ่งถูกปล่อยให้รกร้างจนกลายเป็นความเชื่อว่ามีผีสิง  กาลเวลาได้ช่วยเยียวยาบาดแผลบางส่วน  และความพยายามจะฝังกลบอดีตอันเจ็บปวดก็กำลังก่อตัวอย่างรวดเร็วผ่านโครงการ เร่งสร้างรีสอร์ทใหม่มาแทนที่ของเดิม
แต่จิตใจและจิตวิญญาณของผู้คนจะสามารถชุบเลี้ยงขึ้นใหม่ได้ในชั่วข้ามเดือนข้ามปีดุจเดียวกับบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างทั้งหลายหรือ?

บรรยากาศ ของเมืองตะกั่วป่าในหนังเรื่อง Wonderful Town  ให้ความรู้สึกเหมือนสภาพของตัวละครที่เพิ่งจะผ่านภาวะกระทบกระเทือนทางจิตใจ อย่างรุนแรงมา และได้ก้าวข้ามปฏิกิริยาช็อคในช่วงแรก  (ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนก่อนหน้า  ขณะที่ซากตกค้างจากหายนะก็หลงเหลืออยู่เพียงไม่มาก)  ไปสู่ขั้นตอนของอาการซึมเศร้า หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง กล่าวคือ  มันกลายเป็นเมืองชายทะเลที่ซบเซา ปราศจากนักท่องเที่ยว ภาพความรื่นเริง  งานเลี้ยง หรือการพบปะสังสรรค์ถูกจำกัดให้เหลือศูนย์  หลายฉากนอกตัวอาคารแทบจะว่างเปล่ารกร้างผู้คน ท้องถนนโปร่งโล่งปราศจากรถรา  ขณะท้องฟ้าก็มักจะครึ้มเมฆ และมีสายฝนเทกระหน่ำเป็นครั้งคราว  (สภาวะปิดกั้นจากโลกภายนอกดังกล่าวยังสะท้อนผ่านภูมิประเทศของเมืองตะกั่ว ป่า ซึ่งด้านหนึ่งเป็นภูเขา ส่วนอีกด้านเป็นทะเล  จนนาตั้งข้อสังเกตว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังติดกับ  สิ่งเดียวซึ่งดูขัดแย้งกับบรรยากาศเงียบสงบและหม่นเศร้าของเมืองตะกั่วป่า คือ  ภาพแก๊งวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามท้องถนนเพื่อฆ่าเวลาจากชีวิตอันไร้จุด หมาย  พวกเขาเปรียบดังตัวแทนของอารมณ์โกรธแค้นที่ยังคุกรุ่นอยู่ข้างใต้พื้นผิวอัน ราบเรียบ รอวันจะปะทุขึ้นมา
   ฉากหลังของหนังสอดคล้องประดุจภาพวาดที่ ยั่วล้อสภาพจิตใจของเหล่าตัวละคร หลังต้องเจ็บปวด  บอบช้ำกับความสูญเสียและกำลังพยายามมองหาความสงบ  มองหาจุดคลี่คลายให้กับชีวิต  โดยแต่ละคนล้วนมีปฏิกิริยาหรือวิธีรับมือกับวิกฤติแตกต่างกันไป สำหรับนา  เธอเลือกจะก้มหน้าแบกรับภาระบริหารโรงแรมในเมืองเพียงลำพังหลังพ่อแม่ตายจาก ไป ชีวิตของเธออัดแน่นด้วยกิจวัตรของการทำความสะอาดโรงแรม  เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ตากผ้า ซื้อผลไม้ให้อาม่า  และรับส่งหลานชายที่โรงเรียนจนไม่เหลือเวลาเป็นของตัวเอง  คนดูได้เห็นเธอหมุนเคลื่อนตามภารกิจเหล่านั้นด้วยท่าทีเรียบเฉย  เหนื่อยหน่าย และแม้กระทั่งการออกไปช็อปปิ้งซื้อข้าวของส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ  อย่างเช่นที่คาดผมก็หาได้สร้างความสุขสดชื่นให้เธอมากนัก  เปรียบไปแล้วเธอคงไม่ต่างจากสภาพเมืองตะกั่วป่าอันหงอยเหงา ปิดกั้น  และจมปลักอยู่กับตัวเอง 
วิทย์ (ดล แย้มบุญยิ่ง)  ดูจะได้รับผลกระทบจากสึนามิมากกว่าใคร  ภาพหายนะในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวเขา  (สะท้อนผ่านบทสนทนาระหว่างเขากับต้นในช่วงท้ายเรื่อง)  แต่แทนการเติมเต็มวันเวลาด้วยกิจวัตร วิทย์กลับเลือกจะปล่อยชีวิตว่างเปล่า  ไร้จุดหมาย แล้วดื่มด่ำไปกับอารมณ์คับแค้น โกรธขึ้ง  ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องแปลก  เพราะผู้คนที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่บ่อยครั้งมักรู้สึกว่า สถานการณ์ดังกล่าวไม่ยุติธรรม เขาไม่เข้าใจได้ว่าเหตุใดมันจึงเกิดขึ้น  และทำไมมันถึงต้องเกิดขึ้นกับเขา  สภาพอารมณ์ของวิทย์ก็ไม่ต่างจากท้องฟ้าครึ้มเมฆในเมืองตะกั่วป่าก่อนการมา ถึงของพายุและสายฝน มันคุกรุ่น ขมุกขมัว และพร้อมจะร้องคำรามได้ทุกเวลา
ต้น อาจไม่ใช่คนท้องถิ่นและรับรู้ข่าวเกี่ยวกับสึนามิผ่านทางโทรทัศน์เช่นเดียว กับชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ แต่เขาเองก็พกพาบาดแผลมายังเมืองตะกั่วป่าเช่นกัน  วิธีรับมือของเขา คือ วิ่งหนีปัญหาและปฏิเสธการเผชิญหน้า  เขาเลือกอาสาสมัครมาภาคใต้ทั้งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากมาเพราะเขาไร้ความสุขกับ ปัจจุบัน เขาคิดว่าสภาพแวดล้อมอันแตกต่างจะช่วยให้เขาทำใจลืมอดีตอันปวดร้าว  แม้ว่ามันจะยังคงทิ้งซากตกค้างให้เห็นตำตา  เช่นเดียวกับบ้านปรักหักพังข้างๆ โครงการรีสอร์ทใหม่  ซึ่งต้องเร่งสร้างให้เสร็จภายในหนึ่งปี
การก่อตัวขึ้นของความ สัมพันธ์ระหว่างต้นกับนาดูจะให้อารมณ์แตกต่างจากภาพความรักโรแมนติกในแบบที่ เราคุ้นเคย แม้ว่าหนังจะมี “ฉากบังคับ” ปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง เช่น  ฉากคู่รักขี่มอเตอร์ไซค์ชมวิวพร้อมเสียงเพลงรักดังกระหึ่ม ตรงกันข้าม  โรแมนซ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนความพยายามจะไขว่คว้าบางอย่างมาช่วยบำบัดความ เปลี่ยวเหงาเสียมากกว่า พวกเขาไม่เคยเอ่ยถึงอนาคตร่วมกัน  นาไม่คิดจะขายโรงแรม แล้วย้ายไปตั้งต้นชีวิตใหม่  แม้ว่าเธอจะเรียนจบมหาวิทยาลัยและชอบพร่ำบ่นว่าต้องแบกรับภาระในการดูแล โรงแรม นอกจากนี้ เมื่อข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์เริ่มแพร่กระจาย  เธอกลับวิตกกังวล แล้วนึกไม่อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลง 
ในฉากหนึ่ง นากล่าวหาน้องชายว่าจมปลักอยู่กับที่ ขณะคนอื่นๆ เดินหน้าต่อไปแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ถูกเขาสวนกลับด้วยข้อหาเดียวกัน

 คุณสมบัติ เดียวกันนั้นสามารถใช้อธิบายต้นได้เช่นกัน  โดยหากมองจากภายนอกเขาอาจดูเป็นชายรักอิสระที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด  สังเกตได้จากมาดสบายๆ ของเขาเวลาเกี้ยวพาราสีหญิงสาว  หรือการที่เขาตัดสินใจอาสามาดูงานที่ภาคใต้นานหลายเดือนทั้งที่ไม่รู้จักใคร ในละแวกนี้ หรือเมื่อเขาบอกปัดความกังวลของนาเกี่ยวกับ “ปากคน”  อย่างไม่ใส่ใจ  (สาเหตุหนึ่งเพราะเขาไม่ใช่และไม่คิดจะเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น?)  รวมไปถึงเหตุการณ์ทุบรถ ซึ่งเขายืนกรานจะไม่แจ้งความกับตำรวจ
แต่ เมื่อเรื่องราวดำเนินไป หนังกลับค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นด้านเปราะบางของต้น  ไม่ว่าจะเป็นแผลบาดหมางระหว่างเขากับพ่อ หรือพิษบอบช้ำจากรักในอดีต  ซึ่งเขาเพิ่งรวบรวมความกล้าที่จะลุกขึ้นมาเผชิญหน้าในช่วงท้ายเรื่อง  นอกจากนี้  ฉากดังกล่าวยังเปิดเผยให้เห็นว่าต้นไม่ได้คิดจริงจังกับโรแมนซ์ครั้งใหม่  (เขาหลบมาโทรศัพท์หลังจากหลับนอนกับนา) มันเป็นเพียงทางผ่าน  เป็นหนึ่งในขั้นตอนบำบัดอดีตอันปวดร้าว  ต้นอาจชื่นชมเมืองตะกั่วป่าว่าเงียบสงบ แต่เขาก็ไม่คิดจะตั้งรกรากอยู่นี่  เช่นเดียวกับชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ มันเป็นแค่ “แหล่งพักใจ” ชั่วคราว  และสุดท้ายเขาก็จะหวนกลับไปหาความวุ่นวายที่เขาจากมาอยู่ดี
ช่องว่าง ที่มองไม่เห็นระหว่างต้นกับนาดุจคลื่นใต้น้ำท่ามกลางความเงียบสงบ  (ฉากร่วมรักของทั้งสองหาได้อิ่มเอิบ สุขสันต์ หรือกระทั่งอีโรติก  ตรงกันข้าม ภาพและดนตรีประกอบกลับทำให้มันดูลึกลับ มืดหม่น  และเจือกลิ่นอายแห่งความเศร้าสร้อย)  เปรียบไปแล้วคงไม่ต่างจากความรู้สึกของผู้กำกับ อาทิตย์ อัสสรัตน์  ยามเมื่อเขาเดินทางไปยังตะกั่วป่า  แล้วพบว่ามันกลับกลายเป็นเมืองสวยงามราวกับไม่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์เลว ร้ายมาก่อนเลย อย่างไรก็ตาม  บางสิ่งบางอย่างกลับบอกเขาว่าทุกอย่างยังไม่ปกติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนท้องถิ่น เขาไม่อาจชี้ชัดได้แน่ว่ามันคืออะไร  และขณะเดียวกันก็ไม่พยายามจะทำความเข้าใจมันด้วยซ้ำ  เนื่องจากมันเป็นระยะห่างที่ “คนนอก” ไม่อาจก้าวข้าม  สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ คือ สังเกตการณ์
ด้วยเหตุนี้กระมัง  ความรุนแรงอันฉับพลันและคาดไม่ถึงในช่วงท้ายเรื่องของ Wonderful Town  จึงปราศจากคำอธิบาย หรือกระทั่งความพยายามที่จะอธิบาย มันเกิดขึ้น จบลง  และแน่นอนว่าสักวันก็จะผ่านไป
บมความโดย Riverdale




