ความขัดแย้งของสองประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียอย่าง จีน ญี่ปุ่น ดูทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย เมื่อผู้ประท้วงทั้งสองฝ่าย ต่างอ้างอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของเกาะเตียวหยู หรือเซ็นกากุ ซึ่ง อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งความขัดแย้งลุกลามไปทุกภาคส่วน และหากไม่หยุดสร้างการยั่วยุ ความโกรธแค้นจากความขัดแย้งก็ มีโอกาสเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น
ทั้งสองประเทศต่างก็ประกาศผลักดันแผนซื้อเกาะดังกล่าว แม้ว่าทางญี่ปุ่นประกาศแผนซื้อเกาะ โดยย้ำว่า ญี่ปุ่น เพียงแค่ถ่ายโอนสิทธิ์การครอบครองเกาะดังกล่าวจากเอกชนมาเป็นของรัฐบาล และไม่ต้องการให้จีนเข้าใจผิดและยิ่งไม่ต้องการให้เรื่องนี้ต้องกระทบต่อ ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นจีนก็มีแถลงการณ์ตำหนิญี่ปุ่นอย่างรุนแรง พร้อมกับขู่ว่า
“รัฐบาลจีนจะไม่อยู่นิ่งเฉยคอยให้ญี่ปุ่นรังแกและคุกคามอธิปไตยของจีนเหมือนในอดีตอีกต่อไป “
ผลกระทบเกิดขึ้นทันทีกับญี่ปุ่นเมื่อภาคเอกชนของญี่ปุ่นต้องปิดโรงงานหลาย แห่งในประเทศจีนเป็นการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ทั้งโรงงานผลิตสินค้าอิเลกทรอนิคส์ ผลิตภัณฑ์ไอที และยานยนต์ ผู้บริโภคในประเทศจีนยังได้ร่วมประท้วงด้วยการรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าของบริษัท ญี่ปุ่น บริษัทผู้ผลิตสินค้าของญี่ปุ่นหลายพันแห่งต้องล้มละลายหากชาวจีนไม่ซื้อ สินค้าของญี่ปุ่นเพียง 1 เดือน ปัจจุบัน กว่า 200 บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นต้องปิดทำการชั่วคราวแล้ว การประท้วงยังลุกลามไปในหลายเมืองทั่วประเทศจีนกว่า 108 เมืองทั่วประเทศ ผู้ประท้วงจุดไฟเผาคาร พร้อมทั้งทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ ธุรกิจห้างร้านสัญชาติญี่ปุ่น และเรียกร้องให้ชาวญี่ปุ่นออกนอกประเทศ
ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่น กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวญี่ปุ่นออกมาต่อต้านรัฐบาลจีน และเรียกร้องให้รัฐบาล ส่งกองกำลังป้องกันตนเองไปยังเกาะเซนกากุ เพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่นเหนือหมู่เกาะดังกล่าว ความตึงเครียดเกิดขึ้นเมื่อ เรือประมงของจีนจำนวนมาก ได้เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กับเกาะเซนกากุ ท่ามกลางการจับตาอย่างใกล้ชิดของยามชายฝั่งญี่ปุ่น และก่อนหน้านี้ จีนส่งเรือตรวจการณ์ 6 ลำเข้าไปยังน่านน้ำของเกาะพิพาทเมื่อวันที่ 14 ก.ย. โดยอ้างว่าทำตามกฎหมาย แต่นั่นเองก็สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้แก่ทางการญี่ปุ่น
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นดิ่งลงต่ำสุดในรอบหลายสิบ ปี บางส่วนก็ยังหวังว่าจะมีทางออกที่เป็นที่น่าพอใจกับทั้งสองฝ่ายบนโต๊ะเจรจา แต่การลุกลามเป็นสงครามนั้นคงเป็นไปได้ยาก จากนักวิเคราะห์ต่างเห็นว่้า จีนยังไม่พร้อมรบกับญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากความขัดแย้งของสองประเทศ ไทยอาจต้องเฝ้าระวัง และจับตาอย่างใกล้ชิด
แต่สิ่งที่ไทยจะได้อานิสงส์ก็คือ การค้าการลงทุน ที่บริษัทญี่ปุ่นบางแห่งเริ่มพิจารณาที่จะถอนการลงทุนออกจากจีน เพื่อย้ายกิจการไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน อย่างเช่นไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
โดยสำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจว่า บริษัทญี่ปุ่นกว่า 41% มองว่าความขัดแย้งที่รุนแรง อาจจะต้องถอนการลงทุนออกจากจีนเพื่อโยกย้ายกิจการไปยังประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนและญี่ปุ่น ได้หันมาเที่ยวประเทศอื่นแทน อย่างเกาหลีใต้ ประเทศไทย รวมไปถึง ไต้หวัน ตามลำดับ จึงคาดว่านักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศจะเดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นใน ช่วงนี้ เป็นโอกาสของธุรกิจทัวร์ไทย จะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างเม็ดเงินได้ไม่น้อย
ที่มา: http://news.mthai.com/hot-news/192527.html