เจ้าชายสีโสวัฒน์ โทมิโก ผู้ช่วยคนสนิทของสมเด็จพระนโรดม สีหนุกล่าวว่า นี่ไม่ใช่ความเศร้าโศกเสียใจของราชวงศ์กัมพูชาเท่านั้น แต่เป็นโศกสลดสำหรับชาวกัมพูชาทุกคน เนื่องจากสมเด็จพระนโรดม สีหนุทรงเป็นพระบิดาของประเทศ
ธงชาติทั่วกัมพูชาถูกลดลงครึ่งเสา บรรยากาศในกรุงพนมเปญในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของเทศกาลสาร์ทเขมรเงียบสงัด
สถานีทีวีกัมพูชาแพร่ภาพสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ขณะที่เครือข่ายสังคม เช่น เฟซบุ๊ก เต็มไปด้วยข้อความแสดงความอาลัยและพระบรมฉายาลักษณ์ของอดีตกษัตริย์พระองค์นี้
สมเด็จพระนโรดม สีหมุนี กษัตริย์องค์ปัจจุบันของกัมพูชา ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และนายกรัฐมนตรีฮุนเซน โอบกอดกันร่ำไห้ ก่อนเสด็จและขึ้นเครื่องบินเดินทางไปอัญเชิญพระบรมศพที่ปักกิ่ง โดยคาดว่าจะกลับมาถึงกรุงพนมเปญในวันพุธ (17)
โฆษกรัฐบาล นายเขียว กันหะฤทธิ์ บอกกับเอเอฟพีว่า จะอัญเชิญพระบรมศพตั้งที่พระบรมมหาราชวังเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้พสกนิกรชาวกัมพูชาได้ถวายบังคมแสดงความไว้อาลัย
เขากล่าวแสดงความคาดหมายว่า ประชาชนเป็นจำนวนแสนๆ คนจะเข้าแถวเรียงรายตามท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงพนมเปญ ในระหว่างการอัญเชิญพระบรมศพกลับมา ซึ่งถือเป็นการเสด็จนิวัติสู่กัมพูชาครั้งสุดท้าย
ชาวกัมพูชารวมตัวกันหน้าพระราชวังในพนมเปญด้วยความโศกเศร้าหลังทราบข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
ถึงแม้ในช่วงปีหลังๆ นี้ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ พร้อมสมเด็จพระชายาโมนิก ซึ่งเป็นพระชายาองค์ที่ 6 เสด็จไปประทับที่กรุงปักกิ่งเป็นส่วนใหญ่ เพื่อทรงรับการรักษาโรคมะเร็ง เบาหวาน และอื่นๆ โดยขณะที่พระสุขภาพอ่อนแอลงมาก อิทธิพลทางการเมืองของพระองค์ก็ลดทอนลง จนเห็นกันว่าการเสด็จไปจีนเสมือนเป็นการเนรเทศพระองค์เองกลายๆ แต่พระองค์ยังคงเป็นที่เคารพรักของชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ และยังเป็นที่จดจำในฐานะองค์พระประมุขของประเทศในช่วงเวลาหลายทศวรรษแห่งความปั่นป่วนผันผวน
สมเด็จพระนโรดม สีหนุทรงขึ้นสู่อำนาจหลังได้รับเลือกจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ให้เป็นกษัตริย์หุ่นเชิดสืบต่อจากพระราชปิตุลา คือ กษัตริย์สีโสวัฒน์มณีวงศ์ ในปี 1941 ขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ทว่าหลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ทรงพยายามผลักดันเพื่อปลดแอกจากปารีส และทรงดำเนินการสำเร็จในปี 1953
กษัตริย์นักรัก ผู้กำกับภาพยนตร์มือสมัครเล่น และนักพูดเจ้าเสน่ห์ที่ตรัสคล่องแคล่วทั้งภาษาเขมร ฝรั่งเศส และอังกฤษ กลายเป็นที่รักใคร่ของประชาชน
ปลายทศวรรษ 1960 หลังจากสละราชสมบัติมาเกือบ 10 ปีเพื่อเข้ามาสร้างสมอิทธิพลทางการเมืองโดยตรง สมเด็จพระนโรดม สีหนุยังคงไม่สามารถหยุดยั้งประเทศจากการถลำเข้าสู่สงครามเวียดนาม และ “ทุ่งสังหาร” ภายใต้การปกครองของเขมรแดงในทศวรรษ 1970 ที่มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 1.8 ล้านคนในช่วงปฏิวัติลัทธิเหมาอิสต์สุดโต่งของพอลพต
ในช่วงที่มีอำนาจทางการเมืองสูงสุด สมเด็พระนโรดม สีหนุทรงจัดการกับผู้ต่อต้านและฝ่ายซ้ายอย่างรุนแรง รวมทั้งพยายามเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับตะวันออกและตะวันตก ด้วยการพะเน้าพะนอวอชิงตันสลับกับเอาใจมอสโกในยุคสงครามเย็น
สมเด็จพระนโรดม สีหนุทรงสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มอนุรักษนิยมด้วยการยุติการรับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในปี 1963 และช่วยจีนส่งอาวุธให้คอมมิวนิสต์เวียดนามรบกับอเมริกา
สมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์ของกัมพูชา เสด็จสวรรคตแล้วในจีนเมื่อวันจันทร์ (15)
แต่แล้ว นายพลลอน นอล ที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาซึ่งต้องการขัดขวางลัทธิคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาและเวียดนาม ก็ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจระหว่างเสด็จเยือนมอสโกในปี 1970 และต่อมาในปี 1973 สมเด็จพระนโรดม สีหนุก็ทรงทำข้อตกลงกับกลุ่มเขมรแดง เพื่อร่วมกันต่อต้านระบอบปกครองหุ่นเชิดของสหรัฐฯ
ภายหลังเขมรแดงได้ชัยชนะยึดครองประเทศได้ในปี 1975 ซึ่งตามมาด้วยช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายทารุณนาน 4 ปี ซึ่งทำให้ประชาชนเกือบ 1 ใน 4 เสียชีวิตจากการขาดอาหาร โรคภัยไข้เจ็บ การประหารชีวิตหรือทรมาน สมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงมีฐานะไม่ผิดอะไรกับหุ่นเชิด และทรงถูกกักขังเป็นนักโทษภายในพระราชวัง
เช่นเดียวกับครอบครัวส่วนใหญ่ในกัมพูชา พระองค์ไม่สามารถรอดพ้นโศกนาฏกรรมจากความเหี้ยมโหดของพอลพต โดยทรงเสียพระโอรสและพระธิดารวม 5 องค์จากที่ทรงมีทั้งสิ้น 14 พระองค์
เมื่อเวียดนามบุกกัมพูชาและโค่นล้มระบอบปกครองเขมรแดงในปี 1979 สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ซึ่งใกล้ชิดกับผู้นำปฏิวัติของจีนคือ เหมาเจ๋อตงและโจวเอินไหล ก็ได้ทรงหนีไปยังแดนมังกร จากนั้นก็ทรงตัดสินพระทัยกลับมาร่วมมือกับพวกเขมรแดงทำสงครามกองโจรกับรัฐบาลของฮุนเซน ที่เป็นหุ่นเชิดของฮานอย
ภายหลังสนธิสัญญาสันติภาพที่สหประชาชาติเป็นแม่งาน แม้จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ทว่าฮุนเซนกลับมีอำนาจเพิ่มขึ้นทุกทีๆ และสมเด็จพระนโรดม สีหนุก็ทรงกลายเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจจำกัด ชะตากรรมของราชวงศ์รวมทั้งชะตากรรมของกัมพูชาตกอยู่ในมือฮุนเซนแทบจะสิ้นเชิง
สมเด็จนโรดม สีหนุทรงสละราชสมบัติอีกครั้งในปี 2004 และเสด็จพำนักในปักกิ่ง โดยเจ้าชายสีโสวัฒน์ระบุว่า สาเหตุการสละราชสมบัติครั้งสุดท้าย ก็เพื่อรักษาราชวงศ์และทำให้กัมพูชามีเสถียรภาพ
ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=vinitsiri&month=16-10-2012&group=70&gblog=116